Select your language TH EN
เภสัชวัตถุ พืชวัตถุ  thai-herbs.thdata.co thdata.co

อ่านบทความอัตโนมัติ



ชื่อไทย: ว่านเปราะ

ชื่อท้องถิ่น: เปราะหอมขาว หอมเปราะ (ภาคกลาง)/ ว่านหอม ว่านแผ่นดินเย็น ว่านตีนดิน (ภาคเหนือ)/ เปราะ (ภาคใต้)/ ว่านนกยูง ว่านหาวนอน (เชียงใหม่)/ ซู (แม่ฮ่องสอน)

ชื่อสามัญ: Sand ginger, Aromatic ginger, Resurrection lily

ชื่อวิทยาศาสตร์: Kaempferia galanga L.

ชื่อวงศ์: ZINGIBERACEAE

สกุล: Kaempferia 

สปีชีส์: galanga 

ชื่อพ้อง: 

-Alpinia sessilis J.Koenig

-Kaempferia humilis Salisb.

-Kaempferia latifolia Donn ex Hornem.

-Kaempferia plantaginifolia Salisb.

-Kaempferia procumbens Noronha

-Kaempferia rotunda Blanco

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:

ว่านเปราะ thai-herbs.thdata.co | ว่านเปราะ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ต้นว่านเปราะ เป็นพืชล้มลุก มีอายุราวหนึ่งปี เป็นไม้ลงหัวจำพวกมหากาฬ มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน หรือที่เรียกว่า “เหง้า” เนื้อภายในของเหง้ามีสีเหลืองอ่อนและมีสีเหลืองเข้มตามขอบนอก และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสเผ็ดขม 


ว่านเปราะ thai-herbs.thdata.co | ว่านเปราะ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ใบ เป็นใบเดี่ยว แทงขึ้นมาจากหัวหรือเหง้าใต้ดินประมาณ 2-3 ใบ และแผ่ราบไปตามพื้นดิน หรือวางตัวอยู่ในแนวราบเหนือพื้นดินเล็กน้อย เนื้อใบค่อนข้างหนา ลักษณะของใบเป็นรูปค่อนข้างกลมหรือเป็นรูปไข่ป้อม มีขนาดกว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-15 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ส่วนโคนใบมนหรืออาจเว้าเล็กน้อย บางครั้งอาจพบว่าขอบใบมีสีแดงคล้ำ ๆ หน้าใบหรือหลังใบมีสีเขียว ส่วนท้องใบเป็นใบสีขาวหรือสีแดง ท้องใบมีขนอ่อน ๆ อยู่บริเวณท้องใบ ส่วนก้านใบมีลักษณะเป็นกาบ มีความยาวประมาณ 1-3 เซนติเมตร ใบอ่อนม้วนเป็นกระบอกออกมาแล้วค่อยแผ่ราบบนหน้าดิน ใบมีกลิ่นหอม

 ว่านเปราะ thai-herbs.thdata.co | ว่านเปราะ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ดอก ออกดอกรวมเป็นช่อ มีความยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีดอกประมาณ 4-12 ดอก โดยออกดอกตรงกลางระหว่างใบ ดอกมีสีขาวหรือสีขาวอมชมพูแต้มด้วยสีม่วง ในแต่ละดอกจะมีกลีบประดับ 2 กลีบรองรับอยู่ โดยใบและต้นนั้นจะเริ่มแห้งเมื่อออกดอก

ผล ลักษณะผลเป็นผลแห้งและแตกได้

สภาพนิเวศวิทยา: พบขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ

ถิ่นกำเนิด: อินเดียไปจนถึงจีน (ยูนนานใต้) และอินโดจีน

การกระจายพันธุ์: อัสสัม, บังคลาเทศ, กัมพูชา, จีนกลางตอนใต้, อินเดีย, เมียนมาร์, ไทย, เวียดนาม, จีนตอนใต้, หมู่เกาะซุนดา, มาลายา, มาลูกู, ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา, ไต้หวัน

ว่านเปราะ thai-herbs.thdata.co | ว่านเปราะ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

การปลูกและการขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือการแยกหัว

สรรพคุณ:

-ตำรายาไทย

*รสขมร้อน กลิ่นหอม สรรพคุณ แก้ธาตุพิการ แก้พิษลม แก้ปวดบวม บำรุงหัวใจ

องค์ประกอบทางเคมี:

-หัว พบสาร ได้แก่ chlorogenic acid, vanillic acid, Uinnanic acid, Cinnamic acid ethyl ester นอกจากนี้ในน้ำมันหอมระเหยยังน้ำมันหอมระเหยที่ประกอบด้วย cinnamic acid, borneol , camphor , cineol , camphene , anistic acid เป็นต้น

การศึกษาทางเภสัชวิทยา: 

-ฤทธิ์กระตุ้นการนอนหลับ การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นการนอนหลับของสารสกัดเฮกเซนของเปราะหอม และสารบริสุทธิ์ 2 ชนิดได้แก่ compound 1: ethyl trans-p-methoxycinnamate และ compound 2: ethyl cinnamate โดยให้สารสกัดในขนาด 0.001, 0.01, 0.1, 0.5, 1, 1.5 และ 10 มิลลิกรัม  และใช้ lavender oil ความเข้มข้น 0.05 มิลลิกรัม เป็นสารมาตรฐาน  ทดสอบในหนูถีบจักรเพศผู้อายุ 5 สัปดาห์ ละลายสารทดสอบด้วย triethylcitrate และหยดลงบนกระดาษกรอง ที่วางไว้ในแท็งค์ ให้หนูสูดดมสารทดสอบภายในแทงค์ และทำการติดตามการตอบสนองทางด้านพฤติกรรมของหนูในการเดินข้ามจากด้านหนึ่งของแท็งค์มายังอีกบริเวณหนึ่ง เป็นเวลา 60 นาที ผลการทดลองพบว่าสารสกัดเฮกเซนของเปราะหอมในขนาด 1.5 และ 10 มิลลิกรัม แสดงฤทธิ์กระตุ้นการนอนหลับ (ทำให้หนูหยุดอยู่ที่มุมแท็งค์ ลดการเคลื่อนไหว) ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01 และ p < 0.05, ตามลำดับ) นอกจากนี้ compound 1 และ 2 ยังมีฤทธิ์ กระตุ้นการนอนหลับ เมื่อให้ในขนาด 0.0014 มิลลิกรัม และ 0.0012 มิลลิกรัม ตามลำดับ (Huang, et al., 2008)

-ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส การทดสอบสารสกัดน้ำ และเมทานอลของเปราะหอม ในการยับยั้งเชื้อ human immunodeficiency virus type 1 reverse transcriptase (HIV-1 rt) และ proteases จาก human immunodeficiency virus type 1 (HIV-1), hepatitis C virus (HCV) และ human cytomegalovirus (HCMV) จากผลการทดลองพบว่า สารสกัดเมทานอลสามารถยับยั้ง protease ทั้งสามชนิดได้ดี (Protease เป็นเอนไซม์ที่สำคัญของไวรัสในการแยก gag-pol polyprotein ให้เป็น reverse transcriptase, protease และ integase ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญของไวรัส HIV  การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์นี้จะยับยั้งการติดเชื้อได้) การทดสอบสารบริสุทธิ์ 4-methoxy cinnamic acid ethyl ester และ 4-methoxy cinnamic acid ที่แยกได้จากเปราะหอม ต่อการยับยั้ง alpha-glucosidase (เนื่องจากอนุภาคไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายในขั้นแรกจะมีการเกาะติดระหว่างไกลโคโปรตีนของเชื้อ gp120 กับ CD4 receptor ซึ่งเป็น T-helper lymphocyte ของ host ในขั้นตอนนี้ถ้ายับยั้งการทำงานของ alpha-glucosidase ทำให้การสังเคราะห์ไกลโคโปรตีนของเชื้อไม่สมบูรณ์) จากการทดสอบพบว่า สารบริสุทธิ์ทั้ง 2 ชนิด สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ alpha-glucosidase ได้สูงกว่าสารมาตรฐาน 1-deoxynojirimycin โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.05±0.03 และ 0.04±0.01 mM, deoxynojirimycin มีค่า IC50 เท่ากับ 5.60±0.42 mM (Sookkongwaree, 2004)

-ฤทธิ์ต้านจุลชีพ ศึกษาฤทธิ์ต้านจุลชีพของน้ำมันหอมระเหยจากเปราะหอมโดยทดสอบกับเชื้อ 7 ชนิด คือ E. coli, S.aureus, P.aeruginosa, B.subtills, S.faecalis, C.albicans และ M. gypseum พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากเปราะหอมสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อที่ทำให้เกิดแผลฝีหนอง S. aureus ได้ดี และสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ E.coli (ที่ทำให้เกิดท้องเสีย อาหารเป็นพิษ) จากการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีพบว่าน้ำมันหอมระเหย จากเปราะหอมมีองค์ประกอบหลักทางเคมี คือ (Z)-ethyl cinnamate ร้อยละ 46.60, 1,8’ cineole ร้อยละ 17.40 และ delta-3-carene ร้อยละ 11.19 (ณาตยาและคณะ, 1997)

-การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอมระเหยในเหง้าของเปราะหอมที่กลั่นด้วยน้ำ วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีด้วยวิธี gas chromatography สารสำคัญที่แยกได้ ได้แก่ ethyl-p-methoxycinnamate (31.77%), methylcinnamate (23.23%), carvone (11.13%), eucalyptol (9.59%) และ  pentadecane (6.41%) การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี agar disc diffusion พบว่าสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด โดยให้ค่า inhibition zone เท่ากับ 8.0 - 31.0 มิลลิเมตร สำหรับการทดสอบความเป็นพิษต่อไรทะเล (Brine shrimp toxicity test) ให้ค่าความเข้มข้นที่ทำให้ไรทะเลตายครึ่งหนึ่ง LC50 เท่ากับ 26.84 μg/ml ในขณะที่น้ำมันหอมระเหยไม่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ DPPH ในหลอดทดลอง ซึ่งเป็นวิธีทางเคมี (IC50>100 μg/ml) (สุภิญญา และคณะ, 2548)

-ฤทธิื์แก้ไข้ บรรเทาปวด อักเสบ การทดสอบฤทธิ์ระงับปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบ ของสารสกัดเมทานอลของเปราะหอมขนาด 50, 100 และ 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ในหนูถีบจักร และหนูขาวเพศผู้ โดยทดสอบฤทธิ์ระงับปวดด้วยวิธี  writhing, formalin, hot plate และ tail flick ทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบด้วยการฉีด carrageenan บริเวณอุ้งเท้าหลังของหนู เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการบวม และใช้ cotton pellet เพื่อเหนี่ยวนำการสร้าง granuloma ส่วนการศึกษาฤทธิ์ลดไข้ใช้ brewer’s yeast เหนี่ยวนำให้เกิดไข้ เมื่อให้สารสกัดเปราะหอมขนาด 50,100  และ 200  มิลลิกรัม/กิโลกรัมทางปาก  พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด  abdominal writhing  ได้  42.75% ,59.57%  และ 70.60%  ตามลำดับ และลดเวลาการเลียอุ้งเท้าบริเวณที่ฉีด formalin ในช่วงต้น หรืออาการปวดแบบเฉียบพลัน (early phase) ได้ 28.77%, 32.56% และ 53.48% และช่วงปลาย หรือระยะอักเสบ (late phase) ได้ 68.94%, 78.76% และ 78.50% ตามลำดับ สารสกัดทุกขนาดทำให้ระยะเวลาเริ่มการตอบสนองต่อความเจ็บปวดของสัตว์ทดลองเพิ่มขึ้น ทั้งใน hot plate และ tail flick tests โดยเริ่มตอบสนองต่อความเจ็บปวดที่เวลา  45  นาที เมื่อให้ naloxone (2 มก/กก) สามารถต้านฤทธิ์ระงับปวดของ morphine (5 มก/กก) และสารสกัด (200 มก/กก) ในการทดสอบ hot plate และ tail flick test ได้  ส่วนการทดลองเพื่อศึกษาฤทธิ์ในการลดไข้ พบว่าสารสกัดไม่มีฤทธิ์ในการลดไข้ เมื่อทดลองด้วยวิธีการฉีด brewer’s yeast เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดไข้ในหนูขาว  ในการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน เมื่อให้สารสกัดเมทานอลเปราะหอม ขนาดสูงสุด 5 mg/kg  พบว่าไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย และไม่แสดงอาการความเป็นพิษจากสารสกัดเปราะหอม โดยสรุปสารสกัดเมทานอลจากเปราะหอม มีฤทธิ์ระงับปวดทั้งในระบบประสาทส่วนกลางระดับสมองและไขสันหลัง โดยสารสกัดออกฤทธิ์บางส่วนที่ opioid receptor และระบบประสาทส่วนปลาย  จากผลการทดลองในการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สารสกัดเมทานอลของเปราะหอมมีฤทธิ์ระงับปวด และต้านการอักเสบได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  แต่ไม่มีฤทธิ์ในการลดไข้ (Sae-Wong, 2007)

-ฤทธิ์รักษาแผล การศึกษาฤทธิ์ในการรักษาแผลของสารสกัดเอทานอลของเปราะหอม ในแผลผ่าตัด (excision wound) แผลเปิดที่เกิดจากการตัดผิวหนังส่วน full thickness ออกไป (incision wound) และแผลที่มีเนื้อตาย (dead space wound) การทดลองแบ่งสัตว์ทดลองออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ได้รับ 2 มล.ของ gum acacia 2% กลุ่มที่ 2 ได้รับสารสกัดเปราะหอม 300 mg/kg  กลุ่มที่ 3 ได้รับยามาตรฐาน dexamethasone 0.17 mg/kg  กลุ่มที่ 4 ได้รับ dexamethasone 0.17 mg/kg และ สารสกัดเปราะหอม 300 mg/kg มีพารามิเตอร์ในการติดตามผลการทดลอง คือ การเพิ่มขึ้นของ breaking strength (incision wound; บ่งบอกถึงความแข็งแรงของแผล) การสร้างเซลล์เยื่อบุผิว การปิดของแผล (excision wound) การเพิ่มขึ้นของเนื้อเยื่อ (granulation tissue), breaking strength, hydroxyproline content (กลุ่มแผลที่มีเนื้อตาย) การสร้างคอลลาเจนที่แผล วัดจากปริมาณ hydroxyproline ผลการทดลองพบว่า กลุ่มแผล incision wound ที่ได้รับ dexamethasone มี breaking strength ลดลง  แต่หากได้รับ dexamethasone ร่วมกับสารสกัดเปราะหอมจะมี breaking strengthเพิ่มขึ้น  กลุ่มแผลผ่าตัดพบการเพิ่มขึ้นของเปอร์เซ็นต์การปิดของแผล เฉพาะกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเปราะหอม และลดระยะเวลาในการการสร้างเซลล์เยื่อบุผิว และในแผลทั้งสามประเภทนั้นพบว่าใช้ระยะเวลาในการหายของแผลเมื่อให้สารสกัดเปราะหอมเร็วกว่า dexamethasone (Tara, et al., 2006)

การศึกษาทางพิษวิทยา: 

-การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดเหง้าด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 1,515 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, 2546)

-การศึกษาด้านพิษวิทยาของสารสกัดเปราะหอม โดยการศึกษาด้านการระคายเคืองต่อผิวหนัง โดยใช้สารสกัดเฮกเซนจากเหง้าเปราะหอม ปริมาณ 0.5 ml (ความเข้มข้น 250 mg/ml) ทาบนผิวหนังกระต่าย เป็นเวลา 4 ชั่วโมง แล้วเช็ดออก จากนั้นสังเกตอาการบวม แดง ที่ผิวหนัง ตั้งแต่เวลา 30-60 นาที หลังให้สารทดสอบ และหลังจากนั้นอีก 24, 48, 72 ชั่วโมง พบว่าไม่เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังในช่วงเวลาที่ทดสอบ การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดเอทานอลจากเหง้าเปราะหอม โดยให้สารสกัดขนาด 5 g/kg แก่หนูแรท ครั้งเดียว ไม่พบการตาย หรือการเกิดพิษใดต่อร่างกาย รวมทั้งอวัยวะและเนื้อเยื่อ การทดสอบพิษกึ่งเฉียบพลัน โดยให้สารสกัดขนาด 25, 50 และ 100 mg/kg ทุกวัน เป็นเวลา 28 วัน ผลการศึกษาไม่พบความผิดปกติของน้ำหนักตัว อวัยวะ และเนื้อเยื่อ ค่าชีวเคมีในเลือด และระดับเอนไซม์ตับปกติ แต่การให้ในขนาด 50 และ 100 mg/kg พบว่าทำให้ระดับ lymphocyte (เม็ดเลือดขาว) ลดลง (Kanjanapothi, et al., 2004)

การใช้ประโยชน์:

-อาการหวัดคัดจมูก ขับลมในลำไส้ อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ทั้งเปราะหอมขาวและเปราะหอมแดง ให้ใช้หัวสดประมาณ 10-15 กรัม (หรือประมาณครึ่งถึงหนึ่งกำมือ) นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้ดื่มวันละ 1-2 ครั้ง

-ช่วยในการผ่อนคลาย เนื่องจากเปราะหอมมีกลิ่นที่หอม สามารถช่วยในการผ่อนคลาย เหมาะสำหรับใช้เป็น Aroma therapy

-หัวและใบ สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นอาหารได้ ใบใช้รับประทานเป็นผักแกล้ม มีกลิ่นหอม หรือใช้ทำหมกปลาหรือใส่แกงปลา ส่วนหัวนำมาใช้ปรุงเป็นเครื่องเทศสำหรับทำแกงหรือนำมาตำใส่เครื่องแกง หรือนำมาหั่นใส่ผัดเผ็ด หรือใช้เป็นส่วนผสมของน้ำราดข้าวมันไก่ ส่วนทางภาคใต้นิยมใช้หัวใส่ในน้ำพริก หรือใช้เป็นส่วนผสมในน้ำพริกเผาเพื่อช่วยทำให้มีกลิ่นหอม

-หัว ด้วยความหอมจากเปราะหอม จึงมีการนำมาใช้เป็นเครื่องสำอาง แป้งฝุ่น แป้งพัฟผสมรองพื้น เจลแต้มสิว สบู่เปราะหอม แชมพู ครีมนวดผม เป็นครีมกันแดด หรือใช้ทำเป็นน้ำยาบ้วนปาก

-หัว ใช้เป็นยาสระผม โดยใช้ว่านหอมผสมกับใบชมวง (ส้มโมง), แน่งหอม (เร่วขน), ขมิ้น, ต้มกับน้ำมวก และใช้น้ำที่ได้ไปสระผม จะช่วยบำรุงเส้นผม ทำให้ผมดกดำเงางามและมีกลิ่นหอม

-ชาวโอรังอัซลีในรัฐเปรัก ประเทศมาเลเซียนำน้ำคั้นจากเหง้าใช้รักษาอาการปวดจากโรคกระเพาะอาหารและไอ

-ในด้านความเชื่อ คนไทยโบราณเชื่อว่าเปราะหอมเป็นว่านศักดิ์สิทธิ์การปลูกเปราะหอมไว้หน้าบ้าน หรือใช้เปราะหอมนำมาแช่น้ำให้ผู้ป่วยรับประทาน จะช่วยปัดเป่าภูตผีปีศาจและขจัดมารออกไปได้ และยังมีความเชื่อว่าเปราะหอมเป็นไม้มงคลที่ใช้สำหรับใส่ลงไปในน้ำสำหรับสรงน้ำพระหรือน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ และยังใช้ผสมในพระเครื่อง รวมไปถึงการนำมาใช้เป็นว่านมหาเสน่ห์สำหรับชายหนุ่ม โดยนำว่านมาปลุกเสกด้วยคาถาแล้วนำมาเขียนคิ้ว หรือใช้ทาปากเพื่อให้ได้รับความเมตตา รักใคร่เอ็นดู หรือใช้ในงานแต่งของชาวอีสาน ด้วยการนำเปราะหอมไปแช่ไว้ในขันใส่น้ำสำหรับดื่มเพื่อความเป็นสิริมงคล

-ปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากต้นเปราะหอมมีดอกที่สวยงาม และดูแลง่าย



ข้อมูลในระบบนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ ประกอบการเรียนการสอน | copyright © thai-herbs.thdata.co

สร้างบทความของคุณ โดยวิธีการง่ายๆ



แชร์ข้อมูล




ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง