Select your language TH EN
เภสัชวัตถุ พืชวัตถุ  thai-herbs.thdata.co thdata.co

อ่านบทความอัตโนมัติ



ชื่อไทย: ขมิ้นอ้อย

ชื่อท้องถิ่น: สากเบือ (ละว้า)/ ขมิ้นขึ้น (ภาคเหนือ)/ ว่านเหลือง (ภาคกลาง)/ ละเมียด (เขมร)/ ว่านขมิ้นอ้อย ขมิ้นเจดีย์ หมิ้นหัวขึ้น สากกะเบือ เผิงเอ๋อซู๋ (จีนกลาง)

ชื่อสามัญ: Zedoary, Luya-Luyahan

ชื่อวิทยาศาสตร์: Curcuma zedoaria (Christm.) Roscoe

ชื่อวงศ์: ZINGIBERACEAE

สกุล: Curcuma 

สปีชีส์: zedoaria

ชื่อพ้อง: 

-Costus luteus Blanco

-Costus nigricans Blanco

-Amomum latifolium Salisb.

-Curcuma malabarica Velay., Amalraj & Mural.

-Curcuma pallida Lour.

-Curcuma raktakanta Mangaly & M.Sabu

-Curcuma speciosa Link

-Erndlia zerumbet Giseke

-Roscoea lutea (Blanco) Hassk.

-Roscoea nigrociliata Hassk.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:

ขมิ้นอ้อย thai-herbs.thdata.co | ขมิ้นอ้อย สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ขมิ้นอ้อย thai-herbs.thdata.co | ขมิ้นอ้อย สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ต้นขมิ้นอ้อย เป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี มีเหง้าอยู่ใต้ดินและมีรากเล็กน้อยที่บริเวณเหง้า มีลักษณะทั่วไปคล้ายกับขมิ้นชันแต่มีลำต้นที่สูงกว่า ขนาดเหง้าและใบใหญ่กว่า โดยต้นขมิ้นอ้อยจะมีความสูงประมาณ 1-1.2 เมตร เหง้ามักโผล่ขึ้นมาเหนือดินเล็กน้อย เหมือนเจดีย์ทรงกลมสูงหลายชั้น ๆ (บ้างเรียกว่าขมิ้นขึ้นหรือขมิ้นเจดีย์) ลักษณะของเหง้ามีลักษณะเป็นรูปกลมรี มีความยาวประมาณ 18-24 เซนติเมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-11 เซนติเมตร ผิวด้านนอกเป็นสีขาวอมเหลือง ส่วนเนื้อในเป็นสีเหลืองอ่อน บางสายพันธุ์มีสีเหลืองเข้ม 


ขมิ้นอ้อย thai-herbs.thdata.co | ขมิ้นอ้อย สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับรอบลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแคบ ผิวใบนูนตามลายของเส้นใบ เส้นกลางใบเป็นร่องเล็กน้อย ผิวด้านหน้าเรียบ ส่วนทางด้านท้องใบจะมีขนนิ่มเล็กน้อย ก้านใบเป็นกาบหุ้มกับลำต้น มีความยาวเป็น 1 ใน 3 ของใบ กลางก้านเป็นร่องลึกตลอดความยาว ในหน้าแล้งกาบใบจะแห้งลงหัวแล้วเหง้าจะโผล่ขึ้นมา (บางครั้งเราก็เรียกกันว่าขมิ้นหัวขึ้น)


ขมิ้นอ้อย thai-herbs.thdata.co | ขมิ้นอ้อย สรรพคุณ สมุนไพร ไทย  

ดอก ออกดอกเป็นช่อ ก้านดอกจะยาวและพุ่งออกมาจากเหง้าที่อยู่ใต้ดิน ช่อดอกมีความยาวประมาณ 14 เซนติเมตร ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ช่อดอกมีใบประดับ และดอกเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน กลีบดอกมีลักษณะกลมเป็นรูปไข่สีเขียว ตรงปลายของช่อดอกจะเป็นสีชมพูหรือสีแดงอ่อน ส่วนดอกสีเหลืองจะบานจากล่างขึ้นบน และจะบานครั้งละประมาณ 2-3 ดอก

ผล ลักษณะเป็นรูปไข่ มีกลิ่นฉุนน้อยกว่าผลของขมิ้นชัน

สภาพนิเวศวิทยา: -

ถิ่นกำเนิด: หิมาลัยตะวันออกถึงอัสสัม

การกระจายพันธุ์: อัสสัม, บังกลาเทศ, เทือกเขาหิมาลัยตะวันออก, เกาะอันดามัน, กัมพูชา, อินเดีย, จาวา, มาลายา, เมียนมาร์, เกาะนิโคบาร์, ไทย, ตรินิแดด-โตเบโก

ขมิ้นอ้อย thai-herbs.thdata.co | ขมิ้นอ้อย สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

การปลูกและการขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์โดยการแยกเหง้า

สรรพคุณ:

-ตำรายาไทย

*หัว รสฝาดเฝื่อน สรรพคุณ แก้ครั่นเนื้อครั่นตัว สมานลำไส้ แก้กระดูขาว ขับปัสสาวะ ตำพอกแก้ฟกบวม อักเสบ

*ใบ รสเฝื่อน สรรพคุณ ขับปัสสาวะ แก้บวมช้ำ 

-บัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปรากฏการใช้ขมิ้นอ้อย ในยารักษาอาการโรคในระบบต่างๆของร่างกาย ได้แก่

1.ยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ปรากฏตำรับ “ยาเหลืองปิดสมุทร” มีส่วนประกอบของขมิ้นอ้อยร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ ใช้บรรเทาอาการท้องเสียชนิดที่ไม่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น อุจจาระไม่เป็นมูก หรือมีเลือดปนและท้องเสียชนิดที่ไม่มีไข้

2.ยารักษากลุ่มอาการทางสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา ปรากฏตำรับ “ยาประสะไพล” มีส่วนประกอบของขมิ้นอ้อยร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ ใช้รักษาระดูมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาน้อยกว่าปกติ บรรเทาอาการปวดประจำเดือน  และขับน้ำคาวปลาในหญิงหลังคลอดบุตร

3.ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ ปรากฏตำรับ “ยาประสะมะแว้ง” มีส่วนประกอบของขมิ้นอ้อยร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ ใช้บรรเทาอาการ ไอ มีเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ ขับเสมหะ

4.ยารักษากลุ่มอาการทางกล้ามเนื้อและกระดูก ปรากฏตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของเจตมูลเพลิงแดงร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ ใช้บรรเทาอาการปวดตามเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา 

องค์ประกอบทางเคมี: 

-เหง้า พบสารกลุ่มเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วย เคอร์คิวมิน (curcumin), bisdemethoxycurcumin, demethoxycurcumin, dihydrocurcumin, tetrahydrodemethoxycurcumin,  tetrahydrobisdemethoxycurcumin   น้ำมันระเหยง่าย สารหลักคือสารกลุ่ม sesquiterpene ได้แก่ epicurzerenone 46.6%,  curdione 13.7%

การศึกษาทางเภสัชวิทยา: 

-ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก การศึกษาฤทธิ์ในการต้านจุลชีพที่พบในช่องปากของขมิ้นอ้อย โดยการเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์บ้วนปากในท้องตลาด 5 ชนิด ทำการศึกษาในหลอดทดลอง โดยใช้สารสกัดเอทานอล 70% ของเหง้าขมิ้นอ้อย ทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ Streptococcus mutans, Enterococcus faecalis,  Staphylococcus aureus  และ Candida albicans  โดยใช้สมการการถดถอยแบบเส้นตรง (linear regression method) ในการวัดการลดลงของเชื้อได้ 99.999% ภายใน 60 วินาที ผลการทดลองพบว่า สารสกัดของขมิ้นอ้อย  มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อได้เทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ ในท้องตลาด ได้แก่ สูตร CP+EO (cetylpyridinium chloride (0.5 mg/mL), chamomile, myrrh tinctures, oils of Salvia melaleuca  และ eucalyptus) และสูตร EO (thymol (0.6 mg/mL), eucalyptol (0.92 mg/mL), menthol (0.42 mg/mL) และ methyl salicylate (0.6 mg/mL) (Bugno, et al., 2007)

-ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพของสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์, สารสกัดเฮกเซน, สารสกัดคลอโรฟอร์ม, สารสกัดอะซิโตน, สารสกัดเอทานอล และสารสกัดน้ำ ที่ได้จากเหง้าขมิ้นอ้อย ทำการศึกษาในหลอดทดลอง ตรวจสอบโดยใช้วิธี agar well diffusion method เพื่อหาค่าบริเวณใสในการยับยั้งเชื้อ (zone of inhibition) และใช้วิธี broth dilution method เพื่อหาค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ยับยั้งการเจริญของเชื้อ (MIC) ใช้ยา tetracycline 10 µg เป็นสารมาตรฐานสำหรับเชื้อแบคทีเรีย และใช้ยา clotrimazole 10 µg เป็นสารมาตรฐานสำหรับเชื้อรา เชื้อที่ใช้ทดสอบมี 8 ชนิด แบ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมบวก 3 ชนิด ได้แก่ Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus และ Micrococcus luteus เชื้อแบคทีเรียแกรมลบ 3 ชนิด ได้แก่ Escherichia coli, Proteus mirabilis และ Klebsiella pneumoniae และเชื้อรา 2 ชนิด ได้แก่ Candida albicans และ Aspergillus niger  การตรวจสอบโดยใช้วิธี agar well diffusion method ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดที่ได้จากเหง้าขมิ้นอ้อยทุกชนิด ยกเว้นสารสกัดน้ำ มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ทุกชนิด ยกเว้นเชื้อ S. aureus และ E. coli ส่วนการทดสอบเชื้อราพบว่าสารสกัดทุกชนิดสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ C. albicans ได้ แต่เชื้อ A. niger มีเพียงสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ และสารสกัดอะซิโตนที่สามารถยับยั้งได้  ในการตรวจสอบโดยใช้วิธี broth dilution method เพื่อหาค่า MIC ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดที่สามารถยับยั้งเชื้อ B. subtilis และ C. albicans ได้ดีที่สุดคือสารสกัดเฮกเซน และอะซิโตน โดยมีค่า MIC เท่ากันคือ 0.01 mg/ml  สารสกัดที่สามารถยับยั้งเชื้อ M. luteus ได้ดีที่สุดคือสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ และเฮกเซน โดยมีค่า MIC เท่ากันคือ 0.01 mg/ml สารสกัดที่สามารถยับยั้งเชื้อ P. mirabilis ได้ดีที่สุดคือสารสกัดเฮกเซน โดยมีค่า MIC เท่ากับ 0.01 mg/ml  สารสกัดที่สามารถยับยั้งเชื้อ K. pneumonia ได้ดีที่สุดคือสารสกัดเฮกเซน คลอโรฟอร์ม และอะซิโตน โดยมีค่า MIC เท่ากันคือ 0.01 mg/ml สารสกัดที่สามารถยับยั้งเชื้อ A. niger ได้ดีที่สุดคือสารสกัดอะซิโตน โดยมีค่า MIC เท่ากับ 0.01 mg/ml  (Wilson, et al., 2005)  ดังนั้นจึงอาจนำสารสกัดที่ออกฤทธิ์มาศึกษา และพัฒนายาต้านเชื้อ ได้แก่ K. pneumonia (ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ปอด ทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น) P. mirabilis (เป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อที่โรงพยาบาล) C. albicans  (ทำให้ติดเชื้อราในช่องปาก บริเวณผิวหนังและเล็บ ผิวหนัง และเยื่อบุชนิดเรื้อรัง โรคติดเชื้อราบริเวณอวัยวะเพศ เป็นต้น)  A. niger (ทำให้เกิดโรคหูชั้นนอกอักเสบ (otomycosis) บางสายพันธุ์สร้าง aflatoxin ในอาหารแห้ง) B. subtilis (สามารถก่อโรคฉวยโอกาสได้ในผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และสามารถก่อโรคอาหารเป็นพิษได้) M. luteus (เป็นสาเหตุให้อาหารหลายชนิดเน่าเสีย (microbial spoilage) เช่น นม ไข่ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นต้น

-ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด การทดสอบฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดเมทานอลที่ได้จากเหง้าขมิ้นอ้อย ด้วยวิธี oral glucose tolerance tests (OGTT) ทำการศึกษาในหนูถีบจักรเพศผู้ สายพันธุ์ Swiss albino โดยป้อนสารสกัดเมทานอลที่ได้จากเหง้าขมิ้นอ้อยในขนาดความเข้มข้น 50, 100, 200 และ 400 mg/kg ให้แก่หนูแต่ละกลุ่ม หลังจากนั้น 1ชั่วโมง ชักนำให้หนูเกิดภาวะระดับกลูโคสในเลือดสูงเฉียบพลันด้วยการป้อนสารละลายกลูโคส ขนาด 2 g/kg หลังจากนั้น 120 นาที จึงเก็บเลือดเพื่อมาตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ใช้ยา glibenclamide ขนาด 10 mg/kg เป็นสารมาตรฐาน ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดเมทานอลที่ได้จากเหง้าขมิ้นอ้อยทุกความเข้มข้นที่ใช้ทดสอบ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และออกฤทธิ์เพิ่มขึ้นตามระดับความเข้นข้นที่เพิ่มขึ้น โดยสารสกัดขนาด 50, 100, 200, 400 mg/kg และยามาตรฐาน glibenclamide ทำให้ค่าระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับ 8.33±0.54, 8.00±0.62, 7.78±0.61, 5.93±0.87 และ 4.77±0.51 mmol/l ตามลำดับ เมื่อคิดเป็นร้อยละของการลดระดับน้ำตาลในเลือด เท่ากับ 36.9, 39.4, 41.1, 55.1 และ 63.9% ตามลำดับ โดยมีความเชื่อมั่นที่ p<0.05เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (Rahmatullah, et al., 2012)

-ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การศึกษาส่วนประกอบ และฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันระเหยง่าย ที่แยกได้จากเหง้าแห้งของขมิ้นอ้อย โดยใช้วิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ และสกัดด้วยตัวทำละลาย และทำการสกัดแยกส่วนสกัดย่อยของน้ำมันระเหยง่าย โดยใช้เทคนิค silica gel column chromatography พบสารประกอบ 36ชนิด ได้แก่ terpenes 17 ชนิด, alcohols 13 ชนิด และ ketones 6 ชนิด โดยพบว่าองค์ประกอบหลักที่พบคือ สาร epicurzerenone และ curzerene  ปริมาณ 24.1 และ 10.4% ตามลำดับ ผลการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชันด้วยวิธีทางเคมี พบว่าน้ำมันระเหยง่ายขนาด 20 mg/ml ออกฤทธิ์ในระดับปานกลางถึงระดับดีมากในการต้านอนุมูลอิสระ DPPH  ออกฤทธิ์ดีในการเป็น reducing power (เป็นการวัดความสามารถในการรีดิวซ์สารประกอบเชิงซ้อนของเหล็กซึ่งเป็นคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ) และออกฤทธิ์ระดับต่ำในการจับเหล็ก (เนื่องจากเหล็กอิสระที่มีอยู่ทั่วร่างกายสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ) และได้ทำการแยกส่วนสกัดย่อยของน้ำมันระเหยง่ายออกมา พบว่าส่วนสกัดย่อยที่ 4 มีองค์ประกอบหลักคือ สารบริสุทธิ์ 5-isopropylidene-3,8-dimethyl-1(5H)-azulenone แสดงฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าน้ำมันระเหยง่าย (Mau, et al., 2003)

-ฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบ การศึกษาสารบริสุทธิ์ curcumenol ที่แยกได้จากสารสกัด dichloromethane จากเหง้าแห้งขมิ้นอ้อย พบว่าออกฤทธิ์แรงในการลดอาการปวดในหนูถีบจักร ในหลายการทดสอบ ได้แก่ Writhing Test , Formalin และ Capsaicin โดยเปรียบเทียบกับยามาตรฐาน diclofenac, aspirin และ dipyrone ในการทดสอบ Writhing Test ใช้กรดอะซิติกฉีดเข้าช่องท้องของหนู เพื่อให้เกิดอาการเจ็บปวด หลังจากให้สารทดสอบขนาด 1-10 mg/kg เข้าทางช่องท้องแล้ว 30 นาที และนับจำนวนครั้งที่หนูเกิดการหดตัวของช่องท้องตามด้วยการยืดกล้ามเนื้อ ภายในเวลา 20 นาที หลังฉีดกรดอะซิติก ผลการทดสอบพบว่าสาร curcumenol สามารถลดจำนวนการเกร็งของการเกิด writhingได้ดีกว่าสารมาตรฐานทั้ง 3 ชนิด โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac, aspirin และ dipyrone เท่ากับ 22, 38, 133และ 162 ไมโครโมล/กิโลกรัม ตามลำดับ  และการทดสอบฤทธิ์ระงับปวดที่สัมพันธ์กับการอักเสบ (Inflammatory analgesia) โดยการฉีด formalin และ capsaicin การทดลอง formalin ทำโดยการฉีดสารทดสอบในขนาด 3-15 mg/kg เข้าทางช่องท้องหนู หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง ฉีด formalin เข้าทางใต้ผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าหลังด้านซ้าย แล้วสังเกตพฤติกรรมการยกเท้าขึ้นเลียของหนู ใน 2 ช่วงคือ first phase (0-5 นาที หลังจากฉีด formalin) ซึ่งแสดงถึงอาการปวดแบบเฉียบพลัน (acute pain) อีกช่วงหนึ่งคือ second phase (15-30 นาที หลังจากฉีด formalin) ซึ่งแสดงถึงการอักเสบ (inflammation phase) พบว่าสาร curcumenol สามารถลดการอักเสบระยะ second phase ได้ดีกว่าสารมาตรฐานทั้ง 3 ชนิด โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac, aspirin และ dipyrone เท่ากับ 29, 34.5, 123 และ  264 ไมโครโมล/กิโลกรัม ตามลำดับ  การทดสอบด้วย capsaicin ทำโดยการฉีดสารทดสอบในขนาด 1-10 mg/kg เข้าทางช่องท้องหนู หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง ฉีด capsaicin เข้าทางใต้ผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าหลังด้านขวา แล้วสังเกตพฤติกรรมการยกเท้าขึ้นเลียของหนู เป็นเวลา 5 นาที พบว่าสาร curcumenol สามารถลดการปวดเฉียบพลัน ได้ดีกว่ายามาตรฐาน diclofenac โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac และ dipyrone เท่ากับ 12, 47 และ 208 ไมโครโมล/กิโลกรัม ตามลำดับ กลไกการออกฤทธิ์ลดปวด และลดการอักเสบของสาร curcumenol นี้ไม่ได้ผ่าน opioid system เนื่องจากไม่ให้ผลการทดสอบด้วยวิธี hot plate (Navarro, et al., 2002)

-ศึกษาสาร sesquiterpenoides 2 ชนิด ที่สกัดได้จากเหง้า เมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบ ในหลอดทดลอง ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ COX-2  และ nitric oxide synthase (iNOS) (หากเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิดถูกกระตุ้น จะมีการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้แก่ พรอสตาแกลนดิน และไนตริกออกไซด์ ตามลำดับ) โดยทำการทดสอบกับเซลล์แมคโครฟาจ ชนิด raw 264.7 ของหนูถีบจักร ซึ่งถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่า สารทั้ง 2 ชนิด คือ beta-turmerone และ ar-turmerone มีฤทธิ์แรงในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทั้งสองชนิด โดยยับยั้งเอนไซม์ COX-2  ด้วยค่า IC50  เท่ากับ 1.6 และ 5.2 microg/mL ตามลำดับ และยับยั้ง iNOS โดยมีค่า IC50  เท่ากับ 4.6 และ 3.2 microg/mLตามลำดับ (Lee, et al, 2002)

-ฤทธิ์ทำให้สงบระงับ การทดสอบฤทธิ์ทำให้สงบระงับของสารสกัดแอลกอฮอล์จากเหง้าขมิ้นอ้อย และสารสกัดซึ่งได้จากการแยกส่วนประกอบของสารสกัดหยาบด้วยคลอโรฟอร์ม แยกเป็นส่วนที่ละลายในคลอโรฟอร์ม และส่วนที่ไม่ละลายในคลอโรฟอร์ม ทดสอบโดยป้อนสารสกัดแก่หนูถีบจักรเพศผู้ หลังจากนั้น 30 นาที ฉีด pentobarbitalขนาด 50 mg/kg เข้าทางช่องท้อง เพื่อเหนี่ยวนำให้หนูหลับ ผลการทดสอบพบว่า สารสกัดหยาบขนาด 0.5 g/kg และส่วนที่ละลายในคลอโรฟอร์มขนาด 100 และ 300 mg/kg สามารถยืดระยะเวลาการนอนหลับของหนูถีบจักรที่เหนี่ยวนำให้หลับด้วย pentobarbital ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบผลกับกลุ่มควบคุม และเมื่อป้อนสารสกัดหยาบขนาด 0.5 g/kg และส่วนที่ละลายในคลอโรฟอร์ม 100 mg/kg สามารถให้ผลลดพฤติกรรมการสำรวจในหนูถีบจักรได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยการทดสอบพฤติกรรมใช้วิธี hole board method  การทดสอบหากลไกการออกฤทธิ์ทำให้สงบระงับโดยใช้ neurotransmitter blockers หรือ antagonists ต่อตัวรับต่างๆ ได้แก่ atropine (ยาปิดกั้นตัวรับ muscarinic), naloxone (ยาปิดกั้นตัวรับ opioid) และ flumazenil (ยาปิดกั้นตัวรับของ benzodiazepine) พบว่า atropine และ naloxone สามารถต้านการออกฤทธิ์การยืดระยะเวลาการนอนหลับในหนูถีบจักรที่ได้รับสารสกัดหยาบขนาด 0.5 g/kg และส่วนที่ละลายในคลอโรฟอร์มขนาด 100 mg/kg ได้อย่างมีนัยสำคัญ ส่วน flumazenil ไม่สามารถต้านฤทธิ์สงบระงับของสารสกัดหยาบด้วยแอลกอฮอล์ แต่สามารถต้านฤทธิ์สงบระงับของส่วนที่ละลายในคลอโรฟอร์มได้ สรุปได้ว่าส่วนที่ละลายในคลอโรฟอร์มของสารสกัดหยาบจากเหง้าขมิ้นอ้อยมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์สงบระงับ การออกฤทธิ์สงบระงับอาจใช้กลไกผ่าน GABA pathway, muscarinic receptor pathway และผ่าน opioid receptor pathway (Jutathip, et al., 2005)

-สารสกัดเหง้าขมิ้นอ้อยที่สกัดด้วย 80% เอทานอล โดยวิธีการหมัก นำมาทดสอบโดยการวัดระยะเวลาการนอนหลับ และพฤติกรรมการเคลื่อนไหว (locomotor activity)ในหนูถีบจักรเพศผู้ พบว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นอ้อยขนาด 1 และ 2 กรัม/กิโลกรม ของน้ำหนักหนู โดยการป้อนทางปาก สามารถยืดระยะเวลาการนอนหลับของหนุถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำให้นอนหลับด้วยยา pentobarbital ขนาด 50 มก./กก. (ฉีดเข้าทางช่องท้อง) นานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดเหง้าขมิ้นอ้อยขนาด 1 ก./กก. เมื่อป้อนทางปากสามารถลดพฤติกรรมการเคลื่อนไหว ในหนูถีบจักรที่กระตุ้นด้วย methamphetamine ขนาด 3 มก./กก. (ฉีดเข้าทางช่องท้อง) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)  (พัฒนชัย และสัจจา, 2541)

-ฤทธิ์ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด  การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดของสารสกัดเอทานอลที่ได้จากเหง้าขมิ้นอ้อย ทำการศึกษาในหลอดทดลอง ตรวจสอบการยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ที่ถูกกระตุ้นการเกาะกลุ่มด้วย adenosine diphosphate (ADP) โดยใช้เครื่องวัดการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด (platelet aggregometer) ศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดต่อเกล็ดเลือดโดยวิธี MTT และศึกษาฤทธิ์ต่อกระบวนการแข็งตัวของเลือดโดยการทดสอบ prothrombin time (PT) และ activated partial thromboplastin time (aPTT) ผลการทดสอบพบว่า สารสกัดเอทานอลจากขมิ้นอ้อยที่ความเข้มข้น 1, 2, 3, 4 และ 5 mg/ml สามารถยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p<0.05 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยมีค่าร้อยละของการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด เท่ากับ 83.48±4.4, 64.25±4.4, 50.33±4.2, 46.81±2.7 และ 44.00±1.0% ตามลำดับ  ค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดได้ร้อยละ 50 (IC50) เท่ากับ 4.8 mg/ml และไม่เป็นพิษต่อเกล็ดเลือด รวมทั้งไม่มีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการแข็งตัวของเลือดเมื่อใช้สารสกัดขนาด 2 mg/ml (p<0.05) โดยการยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดของสารสกัดขนาด 5 mg/ml ออกฤทธิ์การยับยั้งมากกว่า แอสไพรินขนาด 5 mg/ ml อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  การตรวจสอบความเป็นพิษต่อเกล็ดเลือด ของสารสกัดเอทานอลที่ได้จากขมิ้นอ้อยความเข้มข้น 1, 2, 3, 4 และ 5 mg/ml วัดค่าร้อยละการมีชีวิตรอดของเซลล์ (% cell viability) ได้เท่ากับ 102.16±9.6, 101.47±6.4, 99.28±5.6, 95.68±8.1 และ 95.63±4.5% ตามลำดับ โดยสรุปสารสกัดหยาบจากขมิ้นอ้อยสามารถยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดในหลอดทดลองได้  จึงอาจนำไปสู่การพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ป้องกันและรักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ในผู้ป่วยโรคหัวใจ และหลอดเลือด  หรือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสาร curcumin (พบมากในขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย) สามารถยับยั้งกระบวนการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดโดยยับยั้ง thromboxane และยับยั้ง calcium เข้าสู่เกล็ดเลือด และสาร ar-turmerone ที่สกัดได้จากขมิ้นชันสามารถยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดที่ถูกกระตุ้นด้วย collagen และ arachidonic acid (AA) ได้ (Duangmano, et al., 2016)

การศึกษาทางพิษวิทยา: 

-การทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดเหง้าด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 1,250 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, 2546)

-การศึกษาความเป็นพิษต่อเซลล์ในหลอดทดลองของสารสกัดเอทานอลจากเหง้าขมิ้นอ้อย นำมาทดสอบความปลอดภัยต่อเซลล์เยื่อบุผนังในช่องปาก โดยทำการทดลองกับ LMF cell line ที่ได้จากเยื่อบุผนังช่องปาก (oral mucosa) โดยใช้เทคนิค Trypan blue dye exclusion assay โดยทำการฉีดสารสกัดเข้าไปในเซลล์ และวัดความมีชีวิตรอดของเซลล์(Cell viability) ทั้งแบบระยะสั้น (short-term assay) ที่เวลา 0, 6, 12 และ 24 ชั่วโมง หลังได้รับสารสกัด และวัดการเจริญเติบโตของเซลล์ (Cell growth) ระยะยาว (long-term assay) ที่  1, 3, 5 และ 7 วัน ผลการทดลองพบว่า การทดสอบที่ระยะสั้น เซลล์ยังคงมีชีวิตอยู่ และในระยะยาว พบว่าเซลล์ยังคงเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สารสกัดของขมิ้นอ้อยมีความเป็นพิษต่อเซลล์ต่ำ และสามารถนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องปากได้ (Fernandes, et al., 2012)

-การทดสอบความเป็นพิษในส่วนที่ละลายในคลอโรฟอร์มของสารสกัดหยาบจากเหง้าขมิ้นอ้อย ทำการทดสอบโดยหาค่า LD50 ในหนูถีบจักร ผลการทดสอบพบว่า เมื่อป้อนสารสกัดครั้งเดียว LD50 มีค่ามากกว่า 2 g/kg ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าส่วนที่ละลายในคลอโรฟอร์มไม่มีความเป็นพิษ และเมื่อให้ต่อเนื่องวันละครั้งขนาด (50, 100, 300 mg/kg) ทุกวัน นาน 14 วัน ไม่พบว่ามีความแตกต่างของน้ำหนักตัวและสารเคมีในเลือด (BUN, Creatinine, AST, ALT, APT) ของหนูถีบจักร เมื่อเปรียบเทียบกันในกลุ่มทดลอง เมื่อตรวจเนื้อเยื่อ (ตับ ไต หัวใจ ทางเดินอาหาร) ของหนูกลุ่มที่ป้อนสารสกัดก็ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม (Jutathip, et al., 2005)

การใช้ประโยชน์:

-โรคกระเพาะอาหาร ใช้หง้าแก่สดประมาณ 2 แว่น นำมาบดผสมกับน้ำปูนใส นำมาใช้ดื่มเป็นยารักษาอาการท้องร่วง เหง้านำมาหั่นเป็นแว่น ๆ (เหง้าสดหรือตากแห้งก็ได้)  นำมาต้มกับน้ำเป็นยาดื่มแก้โรคกระเพาะอาหาร

-โรคริดสีดวงทวาร ใช้เหง้าแก่ พริกไทยล่อน และเปลือกยางแดง นำมาผสมกันทำเป็นยาผง แล้วนำไปละลายในน้ำยางใส ปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วชี้ ใช้กินเช้าและเย็น

-โรคฝีในมดลูกของสตรี ใช้เหง้าแก่สดประมาณ 3 ท่อน, บอระเพ็ด 3 ท่อน, ลูกขี้กาแดง 1 ลูก (นำมาผ่าเป็น 4 ซีก แล้วใช้เพียง 3 ซีก) แล้วนำมาต้มรวมกับสุรา ใช้กินเป็นยาแก้ฝีในมดลูก

-โรคหัด (ที่มีอาหารหลบใน) ใช้เหง้าแก่สด 5 แว่น และต้นต่อไส้ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำและน้ำปูนใส แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารเช้าและเย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา

-อาการ ปวดบวม แก้บวม ฟกช้ำ แก้ช้ำใน แก้อักเสบ แก้อาการเคล็ดขัดยอก ข้อเคล็ดอักเสบ และบรรเทาอาการปวด ใช้เหง้าแก่สด นำมาตำให้ละเอียด แล้วเอามาพอกบริเวณที่มีอาการบวม จะช่วยบรรเทาอาการปวดบวม ฟกช้ำได้

-อาการหวัด ใช้เหง้าแก่สด อบเชยเทศ และพริกหาง นำมาต้มแล้วเติมน้ำผึ้งใช้รับประทานเป็นยาแก้หวัด 

-อาการปวดประจำเดือนของสตรี ใช้เหง้าแก่หนักประมาณ 12 กรัม, ขมิ้นชัน 10 กรัม, ดอกคำฝอย 6 กรัม, ฝางเสน 8 กรัม, เม็ดลูกท้อ 8 กรัม, หง่วงโอ้ว 8 กรัม และโกฐเชียง 10 กรัม นำมาต้มกับน้ำหรือใช้ดองกับเหง้าเป็นยารับประทาน

-ช่วยรักษาบาดแผล ใช้เหง้าแก่นำมาหุงกับน้ำมันมะพร้าว แล้วนำมาใส่แผล จะช่วยทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำบวมได้อีกด้วย

-ช่วยรักษาฝี ฝีหนองบวม ด้วยการใช้เหง้าแก่สดสด, ต้นและเมล็ดของเหงือกปลาหมอ อย่างละเท่ากัน นำมาตำรวมกันจนละเอียดแล้วใช้พอกเช้าเย็น

-ช่วยบำรุงผิวพรรณ ใช้เหง้าแก่สด กระชาย พริกไทย หัวแห้วหมู มาทุบรวมกันแล้วดองด้วยน้ำผึ้ง รับประทานก่อนนอนทุกคืน จะช่วยให้ผิวสวย

-เหง้า สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางสมุนไพร ที่นำมาใช้มาการขัดหน้า ขัดผิว ช่วยแก้สิว แก้ฝ้า ช่วยลบเลือนจุดด่างดำ แก้โรคผดผื่นคัน และทำให้ผิวพรรณดูผุดผ่องงดงาม ผิวนุ่มและเรียบเนียน

-เหง้า สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องเทศเพื่อใช้ทำอาหารได้หลายชนิด เช่น การนำมาตำใส่แกงต่าง ๆ ร่วมกับจ๊ะไค เป็นต้น

-เหง้า สามารถนำมาใช้ในการแต่งสีเหลืองให้กับอาหารบางชนิดได้ เช่น ขนมเบื้องญวน ข้าวเหนียวเหลือง ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง แกงเหลือง แกงกะหรี่ ข้าวหมกไก่ เนย มัสตาร์ด ผักดอง เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้ในการย้อมสีผ้าให้เป็นสีเหลืองได้อีกด้วย

-เหง้า สามารถนำมาใช้ทำแป้งโชติ ซึ่งเป็นแป้งที่ย่อยง่ายและเหมาะสำหรับทารก

-ในอินโดนีเซียจะใช้ยอดอ่อนนำมารับประทานเป็นผัก

-ในอินเดียใช้เหง้าทำเป็นเครื่องหอม



ข้อมูลในระบบนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ ประกอบการเรียนการสอน | copyright © thai-herbs.thdata.co

สร้างบทความของคุณ โดยวิธีการง่ายๆ



แชร์ข้อมูล




ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง