Select your language TH EN
เภสัชวัตถุ พืชวัตถุ  thai-herbs.thdata.co thdata.co

อ่านบทความอัตโนมัติ



ชื่อไทย: มะแว้งเครือ

ชื่อท้องถิ่น :แขว้งเคีย (ตาก)/ มะแว้งเถา (กรุงเทพฯ)/ มะแว้ง มะแว้งเถาเครือ (ทั่วไป) 

ชื่อสามัญ: -

ชื่อวิทยาศาสตร์: Solanum trilobatum L.

ชื่อวงศ์: SOLANACEAE

สกุล:Solanum 

สปีชีส์: trilobatum

ชื่อพ้อง: 

-Solanum acetosifolium Lam.

-Solanum canaranum Miq.

-Solanum canaranum Miq. ex C.B.Clarke

-Solanum fuscum B.Heyne ex Wall.

-Solanum maingayi Kuntze

-Solanum prostratum Raeusch.

-Solanum sarmentosum Nees

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:

มะแว้งเครือ thai-herbs.thdata.co | มะแว้งเครือ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ต้นมะแว้งเครือ เป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก ลักษณะของลำต้นกลมเป็นเถามันสีเขียว ตามลำต้นมีหนามแหลม  


มะแว้งเครือ thai-herbs.thdata.co | มะแว้งเครือ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ใบ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ขอบใบเว้า ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร หลังใบเรียบมัน ส่วนท้องใบมีหนามตามเส้นใบ


มะแว้งเครือ thai-herbs.thdata.co | มะแว้งเครือ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและที่ปลายกิ่ง ในช่อดอกหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 5-12 ดอก ดอกย่อยเป็นสีม่วงอมชมพู มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกมีลักษณะย่น ปลายกลีบแหลม โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน แต่ละดอกมีขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ มีเกสรเพศผู้สีเหลือง 5 ก้าน ส่วนก้านดอกและก้านช่อเป็นสีเขียว


มะแว้งเครือ thai-herbs.thdata.co | มะแว้งเครือ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ผล ออกเป็นช่อคล้ายมะเขือพวง ผลมีลักษณะกลม ผิวผลเรียบเกลี้ยง ผลมีขนาดเล็กกว่าผลของมะเขือพวง หรือมีขนาดประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียวมีลายเป็นสีขาว ๆ ตามยาว เมื่อแก่หรือสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ภายในผลมีเมล็ดลักษณะแบน ๆ อยู่หลายเมล็ด ผลมีรสขม

สภาพนิเวศวิทยา: พบขึ้นเองตามธรรมชาติในบริเวณที่ราบชายป่า ที่โล่งแจ้ง และบริเวณที่รกร้างริมทาง

ถิ่นกำเนิด: อินเดีย, ศรีลังกา, อินโดจีน ไปจนถึงคาบสมุทรมาเลเซีย

การกระจายพันธุ์: อินเดีย, ลาว, มาลายา, เมียนมาร์, ศรีลังกา, เวียดนาม

มะแว้งเครือ thai-herbs.thdata.co | มะแว้งเครือ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

การปลูกและการขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด

สรรพคุณ:

-ตำรายาไทย

*ผล รสขม สรรพคุณ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้เบาหวาน บำรุงน้ำในตับอ่อน

*ราก รสขื่นเปรี้ยวเล็กน้อย สรรพคุณ ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ไข้สันนิบาต แก้น้ำลายเหนียว

องค์ประกอบทางเคมี: 

-ใบ พบสาร Tomatid-5-en-3-ß-ol 

-ดอก พบสาร Alkaloids, Cellulose, Pectins Unidentified organic acid Lignins, Unidentified saponin

-ผล พบสาร Enzyme oxidase, Vitamin A ค่อนข้างสูง

การศึกษาทางเภสัชวิทยา: 

-ฤทธิ์ต้านการอักเสบ การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากผลมะแว้งเครือในหนูถีบจักร โดยสกัดผลมะแว้งเครือด้วยน้ำ เอทานอล และสกัดด้วยเอทานอล ผสมกรดไฮโดรคลอริก ในอัตราส่วน 10:1 แล้วนำสารสกัดทั้งสามชนิดมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูถีบจักร โดยใช้การเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบทั้งแบบเฉพาะที่ภายนอก และแบบที่เกิดการอักเสบในช่องท้อง การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากผลมะแว้งเครือทั้งในการป้องกันและการรักษาอาการบวมของใบหูหนูถีบจักร ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบโดยการทาสาร ethyl-phenylpropiolate (EPP) และสารทดสอบบริเวณใบหูของหนูถีบจักรด้านใน และด้านนอก การศึกษาฤทธิ์ป้องกันโดยการทาสารสกัดจากผลมะแว้งเครือก่อนเป็นเวลา 2 ชั่วโมง แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย EPP ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดทั้ง 3 ชนิด ขนาด 0.5, 1 และ 2 มก/หู สามารถป้องกันการบวมของใบหูของหนูถีบจักร โดยแปรผันตรงตามความเข้มข้นของสารสกัด สำหรับการทดสอบฤทธิ์ในการรักษาการอักเสบ ศึกษาในหนูถีบจักรเช่นกัน โดยเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบของใบหูด้วยการทา EPP เป็นเวลา 1 ชั่วโมงก่อน แล้วทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดน้ำ และสารสกัดเอทานอล ขนาด 0.5, 1 และ 2 มก/หู และสารสกัดเอทานอล ผสมกรดไฮโดรคลอริก ขนาด 0.25, 0.5 และ 1 มก/หู พบว่าสารสกัดทั้ง 3 ชนิด สามารถลดการบวมของใบหูของหนูถีบจักร ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.01) ซึ่งแปรผันตามความเข้มข้นของสารสกัด สารสกัดทั้ง 3 ชนิด แสดงฤทธิ์ป้องกัน และรักษาการอักเสบตลอด 4 ชั่วโมง ของการทดลอง เมื่อเปรียบเทียบกับสารมาตรฐาน เดกซาเมทาโซน 0.05 มก/หู ส่วนการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากผลมะแว้งเครือด้วยเอทานอล โดยใช้การทดสอบการอักเสบในช่องท้อง 2 วิธี ได้แก่ กรดอะซิติกเหนี่ยวนำให้เกิดการเคลื่อนที่ของของเหลวออกนอกหลอดเลือด และคาราจีแนนเหนี่ยวนำให้เกิดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาว พบว่าสารสกัดเอทานอล (200, 400 และ 600 มก/กก) แสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P< 0.001) ในทั้ง 2 วิธีการทดสอบ อย่างไรก็ตามพบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบน้อยกว่าสารมาตรฐานสำหรับลดการอักเสบ (เดกซาเมทาโซน 1 มก/กก และอินโดเมทาซิน 10 มก/กก) จากการศึกษาดังกล่าวนี้ สรุปได้ว่าสารสกัดน้ำ สารสกัดเอทานอล และสารสกัดเอทานอล ผสมกรดไฮโดรคลอริก จากผลมะแว้งเครือมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในรูปแบบการทาภายนอก และยังพบว่าสารสกัดเอทานอลมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเมื่อให้โดยป้อนทางปากด้วย ผลการทดลองนี้แสดงถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากผลมะแว้งเครือ ซึ่งสนับสนุนการศึกษาทางคลินิกเพื่อนำไปใช้ในการรักษาอาการอักเสบต่อไป (วันทณี, 2549)

-ฤทธิ์แก้คัน การศึกษาฤทธิ์ต้านอาการคันของสารสกัดจากผลมะแว้งเครือในหนูถีบจักร โดยสกัดผลมะแว้งเครือด้วยน้ำ เอทานอล และสกัดด้วยเอทานอล ผสมกรดไฮโดรคลอริก ในอัตราส่วน 10:1 แล้วนำสารสกัดทั้งสามชนิดมาทดสอบฤทธิ์ พบว่าสารสกัดเอทานอล ขนาด 200, 400 และ 600 มก/กก สามารถยับยั้งพฤติกรรมการเกาของหนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยฮีสตามีน ซึ่งให้ผลเช่นเดียวกับการให้สารมาตรฐานสำหรับลดการคัน (เดกซาเมทาโซน 1 มก/กก และคลอฟินิรามีน 10 มก/กก) (วันทณี, 2549)

-ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย การทดสอบสารสกัดมะแว้งเครือที่สกัดด้วย chloroform, methanol, petroleum ether และ น้ำ ทดสอบฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย 8 ชนิด ด้วยวิธี agar disc diffusion method ใช้เชื้อแบคทีเรียแกรมบวก 3 ชนิด คือ Staphylococcus aureus, Bacillus subtilis, Streptococccus pyrogens  และเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ 5 ชนิด คือ Salmonella typhi,  Pseudomonas aeruginosa,  Klebsiella pneumonia,  Escherichia coli  และ Proteus vulgaris ใช้สารสกัดมะแว้งเครือ ในขนาด 25, 10 และ 5 mg/ml การทดสอบพบว่าสารสกัดออกฤทธิ์ดีในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียทั้ง 8 ชนิด  เมื่อเทียบกับยามาตรฐาน streptomycin โดยฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียขึ้นกับความเข้มข้นของสารสกัด โดยสารสกัดที่ให้ผลต้านเชื้อแบคทีเรียดีที่สุด คือสารสกัดจากคลอโรฟอร์ม ความเข้มข้น 25 mg/ml  สามารถยับยั้งเชื้อ Bacillus subtilis และ Streptococccus pyrogens ได้ดีที่สุด โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของบริเวณที่เชื้อไม่ขึ้นเท่ากับ 18 และ 21 มิลลิเมตร ตามลำดับ (Doss, et al., 2008)

-ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด การศึกษาฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดน้ำจากผลมะแว้งเครือ ทำการทดลองในหนูแรทสายพันธุ์วิสตาร์ ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วย streptozotocin (STZ) แล้วป้อนสารสกัดน้ำจากผลมะแว้งเครือ ในขนาด 100 และ 200มก/กก. พบว่าสารสกัดสามารถเพิ่มการทำงานของ hepatic hexokinase (โดยเพิ่มการเกิด กระบวนการ glycolysis ทำให้มีการนำกลูโคสในเลือด มาใช้เป็นพลังงาน) และลดปริมาณ hepatic glucose-6-phosphatase, serum acid phosphatase (ACP), alkaline phosphatase (ALP) และ lactate dehydrogenase (LDH) (สารเหล่านี้จะพบในปริมาณสูงในภาวะเบาหวาน โดยจะหลั่งออกจากเนื้อเยื่อเข้าสู่กระแสเลือด) โดยสรุปสารสกัดมะแว้งเครือสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ทั้งยังช่วยปกป้องตับได้ (Kumar, et al., 2011)

-การศึกษาโดยสกัดผลมะแว้งเครือ ด้วยตัวทำละลายชนิดต่างๆ ได้แก่ น้ำ, เมทานอล, เอทานอล แล้วนำสารที่สกัดได้มาทดสอบฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลอง ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดน้ำของมะแว้งเครือ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดกระต่ายได้หลังจากกระต่ายได้รับสารสกัดสมุนไพร 2 ชั่วโมง โดยสารสกัดสมุนไพรที่สกัดด้วยเอทานอลของมะแว้งเครือ ลดระดับน้ำตาลได้หลังจากกระต่ายได้รับ 2 และ 3 ชั่วโมง จากผลการทดลองนี้แสดงว่า สารสกัดจาผลมะแว้งเครือสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (สุรัตน์, 2522)

การศึกษาทางพิษวิทยา: 

-การศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดผลมะแว้งด้วยเอทานอล ในหนูถีบจักรสายพันธุ์ ICR และหนูขาวสายพันธุ์วิสตาร์ โดยการทดสอบพิษเฉียบพลัน ให้สารสกัดทางปาก ในขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม เพียงครั้งเดียว ผลพบว่าไม่ทำให้หนูตาย และไม่พบอาการผิดปกติ น้ำหนักตัวหนูไม่เปลี่ยนแปลง การทดสอบพิษเรื้อรังในหนูขาวเพศผู้ โดยป้อนสารสกัดขนาด 1กรัม/กิโลกรัม เป็นเวลา 28 วัน ไม่พบการตายของหนู และไม่พบอาการเกิดพิษ ค่าน้ำหนักตัว อาการทางคลินิก ค่าชีวเคมีในเลือด และเนื้อเยื่อไม่เปลี่ยนแปลง การทดสอบการระคายเคืองของสารสกัด โดยทดสอบที่ผิวหนังของกระต่าย โดยทาสารทดสอบปริมาณ 0.5 มิลลิลิตร (400 mg/ml) หลังทาสารทดสอบที่เวลา 1, 2, 3, 24, 48 และ 72 ชั่วโมง พบว่าไม่เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังกระต่าย (Thongpraditchote, et al., 2014)

การใช้ประโยชน์:

-โรคเบาหวานและลดน้ำตาลในเลือด ใช้ผลสดโตเต็มที่ประมาณ 15-20 ผล ล้างน้ำให้สะอาด รับประทานเป็นเครื่องเคียงกับอาหารหรือเป็นผักจิ้มน้ำพริกเป็นประจำทุกวัน

-อาการไอและขับเสมหะ ใช้ผลสดที่แก่แล้วประมาณ 5-10 ผล ล้างน้ำให้สะอาด โขลกพอแหลกคั้นเอาแต่น้ำใส่เกลือจิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อจนกว่าอาการจะดีขึ้น

-อาการหืด หืดหอบ ใช้ผลสดประมาณ 5-10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำและใส่เกลือ นำมาจิบบ่อย ๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ

-ช่วยทำให้เจริญอาหาร ใช้ผลสดประมาณ 5-10 ผล นำมาโขลกให้พอแหลก คั้นเอาแต่น้ำผสมกับเกลือใช้จิบบ่อย ๆ หรือจะใช้ผลสดนำมาเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ

-ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ใช้ผลที่โตเต็มที่ประมาณ 10-20 ผล นำมารับประทานเป็นอาหาร เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก 

-ผลอ่อน ใช้รับประทานสดหรือลวก ต้ม เผาไฟ ใช้เป็นผักร่วมกับน้ำพริก เป็นต้น

-ยอดอ่อน ใช้รับประทานเป็นผักได้ แต่ต้องนำมาต้มให้สุกเสียก่อน แล้วจึงนำไปใช้เป็นผักจิ้ม นิยมรับประทานกับปลาร้า จิ้มกับน้ำพริก เป็นต้น




ข้อมูลในระบบนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ ประกอบการเรียนการสอน | copyright © thai-herbs.thdata.co

สร้างบทความของคุณ โดยวิธีการง่ายๆ



แชร์ข้อมูล




ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง