Select your language TH EN
เภสัชวัตถุ พืชวัตถุ  thai-herbs.thdata.co thdata.co

อ่านบทความอัตโนมัติ



ชื่อไทย: ขลู่ (หนาดวัว)

ชื่อท้องถิ่น: ขี้ป้าน (แม่ฮ่องสอน)/ หนาดวัว หนาดงัว หนวดงั่ว หนวดงิ้ว (อุดรธานี)/ ขลู่ (ภาคกลาง)/ เพี้ยฟาน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)/ ขลู คลู (ภาคใต้)/ หลวนซี (จีนกลาง), หล่วงไซ (แต้จิ๋ว) เป็นต้น

ชื่อสามัญ: Indian marsh fleabane

ชื่อวิทยาศาสตร์: Pluchea indica (L.) Less.

ชื่อวงศ์: ASTERACEAE-COMPOSITAE

สกุล: Pluchea 

สปีชีส์:indica 

ชื่อพ้อง: 

-Baccharis indica L.

-Conyza indica Blume ex DC.

-Placus indicus (L.) Baill.

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:

ขลู่ thai-herbs.thdata.co | ขลู่ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ต้นขลู่ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ขึ้นเป็นกอ ๆ แตกกิ่งก้านสาขามาก ลำต้นความสูงประมาณ 0.5-2 เมตร ลำต้นกลม เปลือกต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลแดงหรือเขียว ที่ลำต้นและกิ่งก้านมีขนละเอียดขึ้นปกคลุม 


ขลู่ thai-herbs.thdata.co | ขลู่ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ใบมีขนาดเล็กและมีกลิ่นฉุน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับหรือรูปรี ปลายใบแหลมหรือมีติ่งสั้น ๆ ปลายใบมีขนาดใหญ่กว่าโคนใบ โคนใบสอบ ส่วนขอบใบจักเป็นซี่ฟันและแหลม โดยรอบมีขนขาว ๆ ขึ้นปกคลุม ใบมีความกว้างประมาณ 1.5-5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2.5-9 เซนติเมตร เนื้อใบมีลักษณะบางคล้ายกระดาษ ใบค่อนข้างแข็งและเปราะ หลังใบและท้องใบเรียบเป็นมัน ค่อนข้างเกลี้ยง และไม่มีก้านใบหรือมีก้านใบสั้นมาก


ขลู่ thai-herbs.thdata.co | ขลู่ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย  

ดอก ออกดอกเป็นช่อฝอยสีขาวนวลหรือสีม่วง โดยจะออกตามปลายยอดหรือตามง่ามใบ ดอกมีลักษณะกลมหลายช่อมารวมกัน ดอกมีลักษณะเป็นฝอยสีขาวนวลหรือสีขาวอมม่วง กลีบของดอกแบ่งออกเป็นวงนอกและวงใน โดยกลีบดอกวงนอกจะสั้นกว่ากลีบดอกวงใน ดอกวงนอกกลีบดอกจะยาวประมาณ 3-3.5 มิลลิเมตร ส่วนดอกวงในกลีบดอกจะมีลักษณะเป็นรูปท่อยาวประมาณ 4-6 มิลลิเมตร ปลายจักเป็นซี่ฟันประมาณ 5-6 ซี่ ภายในมีทั้งดอกเพศผู้และดอกเพศเมียสีขาวอมม่วงขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก ปลายกลีบดอกหยักเป็นซี่ฟัน 5-6 หยัก ส่วนอับเรณูตรงโคนจะมีลักษณะเป็นรูปหัวลูกศรสั้น ๆ และท่อเกสรเพศเมียจะมีแฉก 2 แฉกสั้น ๆ ก้านช่อดอกมีความยาวประมาณ 5-6 มิลลิเมตร ส่วนดอกย่อยไม่มีก้านดอก ริ้วประดับมีลักษณะแข็งและเป็นสีเขียว เรียงกันประมาณ 6-7 วง วงด้านนอกนั้นจะมีลักษณะเป็นรูปไข่ ส่วนวงด้านในจะมีลักษณะคล้ายรูปหอกแคบและตรงปลายจะแหลม


ขลู่ thai-herbs.thdata.co | ขลู่ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

ผล ลักษณะผลเป็นผลแห้งไม่แตก มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกขนาดเล็ก ยาวประมาณ 0.7 มิลลิเมตร ผลมีสันหรือเหลี่ยม 10 สัน มีรยางค์ไม่มาก สีขาว ยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร แผ่กว้าง ส่วนเมล็ดขลู่จะมีลักษณะเป็นฝอยเล็ก ๆ เมื่อแก่จะปลิวไปตามลม

สภาพนิเวศวิทยา: พบขึ้นตามที่ลุ่มชื้นแฉะ ตามริมห้วยหนอง หรือตามหาดทราย ด้านหลังป่าชายเลน

ถิ่นกำเนิด: เอเชียเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนถึงออสเตรเลียเหนือ

การกระจายพันธุ์: -

ขลู่ thai-herbs.thdata.co | ขลู่ สรรพคุณ สมุนไพร ไทย

การปลูกและการขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและวิธีการปักชำ

สรรพคุณ:

-ตำรายาไทย

*ต้น รสเหม็นขื่น สรรพคุณ ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ

*ใบ คั่วให้เกรียม รสหอมเย็น สรรพคุณ ชงน้ำรับประทาน ขับปัสสาวะ แก้กระหายน้ำ 

*เปลือก รสเมาเบื่อเล็กน้อย  รรพคุณ ขับโลหิตประจำเดือน ขับระดูขาว ขับปัสสาวะ แก้กามโรค

องค์ประกอบทางเคมี: 

-พบสารอนุพันธ์ของ eudesmane  กลุ่ม cauhtemone และพบเกลือแร่ sodium chloride เนื่องจากชอบขึ้นที่น้ำทะเลขึ้นถึง

การศึกษาทางเภสัชวิทยา: 

-ฤทธิ์ต้านการอักเสบ การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากรากขลู่ พบว่าสารสกัดจากรากสามารถช่วยต้านการอักเสบได้ โดยสามารถช่วยยับยั้งอาการบวมของอุ้งเท้าหนูที่เกิดจากการฉีด carragenin, histamine, serotonin, hyaluronidase และ sodium urate ซึ่งสารสกัดดังกล่าวจะไปยับยั้งกระบวนการที่โปรตีนลอดออกจากหลอดเลือดและการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวไปยังบริเวณที่อักเสบ (Sen T., et al., 1991)

-การศึกษากลไกของการต้านการอักเสบและการต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของสารสกัดจากรากขลู่ ที่คาดว่ามีกลไกเกี่ยวข้องกับ 5-lipoxygenase pathway ซึ่งเป็นกระบวนการสังเคราะห์โพรสตาแกลนดิน ( prostaglandin) และผลจากการศึกษาก็พบว่าสารสกัดจากรากขลู่สามารถช่วยต้านการอักเสบที่เกิดจาก arachidonic acid, platelet activation factor และสารประกอบ 48/80 ซึ่งเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมที่อุ้งเท้าของสัตว์ได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยยับยั้งสารประกอบ 48/80 เหนี่ยวนำให้เกิดการหลั่งสารฮิสตามีน (Histamine) จาก Mast cell ได้อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับผลต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหารนั้นพบว่า สารสกัดจากรากสามารถช่วยป้องกันการเกิดแผลจากเหล้าและยา indomethacin ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถช่วยลดปริมาณและความเป็นกรดของกระเพาะอาหารลงได้อย่างมีนัยสำคัญ (Sen T., et al., 1993)

-จากการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากขลู่ในการยับยั้งปัจจัยกระตุ้นเกล็ดเลือดและยับยั้งการเกิดกระเพาะอาหารเสียหาย ซึ่งจากการทดลองพบว่าสารสกัดจากขลู่สามารถช่วยยับยั้งการอักเสบและลดอุบัติการณ์การเกิดกับทางเดินอาหารส่วนล่างเสียหายได้อย่างมีนัยสำคัญ (Sen T., et al., 1996)

-ฤทธิ์การปกป้องตับ จากการศึกษาฤทธิ์การปกป้องตับของสารสกัดจากขลู่ ในหนูทดลองที่ตับบาดเจ็บเฉียบพลัน (เกิดจากการเหนี่ยวนำสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ : CCl4) โดยพบว่าสามารถช่วยลดระดับของเอนไซม์ aspartate amino tranferase (AST), alanine amino tranferase (ALT), lactate dehydrogenase (LDH), serum alkaline phosphatase (ALP) และ bilirubin ได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดจากขลู่สามารถช่วยลดระยะเวลาการนอนหลับของหนูที่ได้รับสาร pentobarbitone ได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังช่วยลด plasma prothrombin time ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับ CCl4 (Sen T., et al., 1993)

-ฤทธิ์ต่อระบบประสาทควบคุมการเคลื่อนที่ จากการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดจากรากขลู่ต่อระบบประสาทของหนูทดลอง โดยพบว่าหนูที่ได้รับ (โดยการกิน) PI-E ในขนาด 50-100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จะมีการทำงานของระบบประสาทควบคุมการเคลื่อนที่จะทำงานเพิ่มขึ้น และช่วยลดระยะเวลาการนอนหลับของหนูที่ได้ pentobarbital ให้สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดที่ได้รับ นอกจากนี้ยังพบว่าฤทธิ์ของ PI-E ที่ให้ในหนูที่ได้รับ pentobarbital จะลดลงเมื่อได้รับ flumazenil ทางหลอดเลือดดำ (1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) อย่างมีนัยสำคัญ และ PI-E ในขนาด 50 - 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และ diazepam ในขนาด 0.5-5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สามารถลดพฤติกรรมความก้าวร้าวได้ตามขนาดที่ได้รับ โดยกลไกการออกฤทธิ์ของ PI-E จะเกี่ยวข้องกับระบบ GABA system ในสมอง แต่อย่างไรก็ตาม PI-E จะไม่มีฤทธิ์ระงับการชักที่เกิดจากการเหนี่ยวนำของ pentyleneterazole (Thongpraditchote S., et al., 1996)

-ฤทธิ์ขับปัสสาวะ การศึกษาการให้สารสกัดผงแห้งจากขลู่ (สารสกัด 3.6 กรัม บรรจุในแคปซูล 12 แคปซูล) เพียงครั้งเดียว แก่อาสาสมัครที่มีสุขภาพดีจำนวน 15 คน และอีกกลุ่มคือผู้ป่วยที่ได้จากการสุ่มอีกจำนวน 30 คน (โดยอาจจะเป็นนิ่วที่ไตด้วยหรือไม่เป็นก็ได้) ที่ได้รับยาขับปัสสาวะ (Hydrochlorothiazide 50 มิลลิกรัม) เพื่อใช้เป็นกลุ่มควบคุมและเปรียบเทียบ และวัดปริมาณของปัสสาวะที่ 6 ชั่วโมง ผลการทดลองพบว่าอาสาสมัครที่สุขภาพดีจำนวน 53% และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการสุ่ม 23% มีการตอบสนองต่อฤทธิ์การขับปัสสาวะของขลู่ ส่วนจำนวนผู้ที่มีการตอบสนองต่อยาขับปัสสาวะ HCT ในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีคิดเป็น 87% และในผู้ป่วยคิดเป็น 67% ซึ่งจากการทดลองสามารถสรุปได้ว่า จำนวนผู้ตอบสนองต่อสารสกัดจากขลู่นั้นมีน้อยกว่ากลุ่มที่รับยาขับปัสสาวะ HCT (Muangman V ., et al., 1998)

-ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากรากขลู่ในหลอดทดลองและในสัตว์ โดยใช้คาร์บอนเตตระคลอไรด์เหนี่ยวนำให้เกิดกระบวนการสลายไขมัน และการเปลี่ยนแปลง arachidonic acid จากเอนไซม์ lipoxygenase ซึ่งผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากรากสามารถช่วยลดการอักเสบและการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังพบด้วยว่าสารดังกล่าวสามารถช่วยกำจัดอนุมูลอิสระได้มากกว่า B755c และ phenidone ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ได้อย่างมีนัยสำคัญ (Sen T., et al., 2002)

  -ฤทธิ์การต้านเชื้อจุลชีพ จากการสกัดและประเมินสารประกอบที่พบในขลู่และความแรงในการต้านเชื้อจุลชีพ พบว่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถยับยั้งเชื้อได้ของสารสกัดต่อเชื้อ Staphylococcus aureus ML 11, Staphylococcus aureus ML 358, Staphylococcus aureus NCTC 6571, Staphylococcus aureus 8530, Salmonella trphi 59, Salmonella typhimurium NCTC 74, Shigella boydii 8 NCTC 254/66, Shigella dysenteriae 7 NCTC 519/66, Vibrio cholerae 214, Vibrio cholerae 14033, Bacillus lichenniformis, Escherichia coli ATCC 25938, Klebsiella pneumoniae 725, Klebsiella pneumoniae 10031 และเชื้อ Pseudomonas aeruginosa 71 คือขนาด 1500 , 2000, > 2000, 1000, 1500, 1500, 1500, 1500, 1000, 1500, > 2000, 1500, > 2000, 2000 และ 2000 นาโนกรัม/มิลลิลิตร (Biswas R., et al., 2005)

การศึกษาทางพิษวิทยา: 

-จากการศึกษาทดลองทางพิษวิทยาพบว่า ในน้ำยาขลู่ไม่มีความเป็นพิษเฉียบพลันต่อหนูขาวที่นำมาทดลอง

การใช้ประโยชน์:

-โรคเบาหวาน ใช้ทั้งต้นนำมาต้มกิน หรือส่วนใบก็ใช้ชงดื่มเป็นน้ำชา ลดลดระดับน้ำตาลในเลือด

-โรคความดันโลหิตสูง ใช้ใบชงดื่มแทนน้ำเป็นชา ช่วยลดความดันโลหิต 

-โรคริดสีดวงทวาร ใช้เปลือกต้นด้วยการขูดเอาขนออกให้สะอาดแล้วลอกเอาแต่เปลือก นำมาต้มรมริดสีดวงทวารหนัก หรือจะใช้ใบสดเอามาตำบีบคั้นเอาแต่น้ำแล้วนำมาทาตรงหัวของริดสีดวงทวาร จะช่วยทำให้หัวริดสีดวงทวารหดหายไปได้ 

-โรคริดสีดวงจมูก ใช้ผิวของต้นนำมาขูดขนออกให้สะอาด ทำเป็นเส้นตากแห้ง แล้วมวนเป็นยาสูบรักษาริดสีดวงจมูก

-โรคผิวหนัง ผื่นคันทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำอาบช่วยแก้ผื่นคันและรักษาโรคผิวหนัง หรือใช้ส่วนใบก็นำมาต้มกับน้ำอาบแก้ผื่นคันได้เช่นกัน 

-โรคหิด และขี้เรื้อน ใบและต้นอ่อนนำมาต้มกับน้ำอาบจะช่วยรักษาหิด และขี้เรื้อน

-อาการโพรงจมูกอักเสบหรือไซนัสได้ ใช้เปลือกต้นนำมาสับเป็นชิ้น ๆ ใช้มวนบุหรี่สูบช่วยบรรเทาอาการโพรงจมูกอักเสบหรือไซนัส

-อาการปวดเมื่อย ใช้ใบนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นชา ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย 

-อาการปวดเมื่อย ใช้ใบและต้นอ่อนใช้ตำผสมกับแอลกอฮอล์ นำมาใช้ทาหลังบริเวณเหนือไตจะช่วยบรรเทาอาการปวดเอว

-ช่วยขับปัสสาวะใช้ ทั้งต้นหรือใบต้มกับน้ำดื่มเป็นยาก่อนอาหารครั้งละ 75 มิลลิลิตร (ประมาณ 1 ถ้วยชา) วันละ 3 ครั้ง จะช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการได้ รักษาอาการขัดเบา

-ยอดอ่อน มีรสมัน ใช้รับประทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก ลาบ หรือเครื่องเคียงขนมจีน ส่วนใบอ่อนนำไปลวกใช้รับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก หรือใส่ในแกงคั่ว ส่วนดอกนำไปยำร่วมกับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ

-ใบ เมื่อนำมาผึ่งให้แห้งจะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำผึ้ง นำมาใช้ต้มกับน้ำดื่มหรือชงแทนชาจะช่วยลดน้ำหนักได้ 



ข้อมูลในระบบนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ ประกอบการเรียนการสอน | copyright © thai-herbs.thdata.co

สร้างบทความของคุณ โดยวิธีการง่ายๆ



แชร์ข้อมูล




ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง