Select your language TH EN
อื่นๆ ความรู้ทั่วไป  thai-herbs.thdata.co thdata.co

อ่านบทความอัตโนมัติ



โรคติดเชื้อซิกาไวรัส (Zika fever)


โรคไข้ซิกา (Zika fever) เป็นโรคเกิดจากร่างกายติดเชื้อไวรัสชื่อ ซิกาไวรัส (Zika virus ย่อว่า ZIKV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในสกุล (Genus) Flavivirus โดยมียุงลาย (Aedes mosquitoes) เป็นตัวนำโรค/พาหะโรค ซึ่งยุงลายนี้เป็นชนิดเดียวกับที่เป็นตัวนำโรคไข้เลือดออก(โรคเด็งกี่) และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย (โรคชิคุนกุนยา)

  • อนึ่ง ชื่ออื่นของ ไข้ซิกา เช่น

  • โรคติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika virus infection)

  • โรคไวรัสซิกา (Zika virus disease)

  • โรคซิกา (Zika disease)

ไวรัสซิกา มียุงลายที่เป็นยุงหากิน/กัด/ดูดเลือดในช่วงกลางวัน โดยมียุง, ลิงในป่าอัฟริกา และคนเป็นรังโรค ไวรัสนี้รายงานครั้งแรกในปี ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) โดยพบเชื้อนี้ในลิงจากป่าในประเทศยูกันดา ทวีปอัฟริกา ซึ่งชื่อ “Zika” เป็นภาษาถิ่นยูกันดาแปลว่า “ป่า” และมีรายงานการติดเชื้อครั้งแรกในคน/ชาวไนจีเรียเมื่อ ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511)

ยุงลายกัดคนหรือกัดสัตว์รังโรคอื่น (เชื่อว่าเป็นลิงและหนูในทวีปอัฟริกา) ที่มีเชื้อไวรัส ซิกา จากนั้นยุงลายจะติดเชื้อ และเมื่อยุงลายที่ติดเชื้อไวรัสนี้ไปกัดคน คนก็จะติดเชื้อไวรัสนี้ เป็นการครบวงจรการติดเชื้อ วนซ้ำเกิดไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นวิธีติดเชื้อเช่นเดียวกับในโรคไข้เลือดออกและในโรคไข้ปวดข้อยุงลาย

ทั้งนี้ ยุงลายมีแหล่งเพาะพันธ์ยุง/ลูกน้ำ คือแหล่งน้ำขังที่เป็นน้ำสะอาดในบ้าน, ในสถานที่รอบบ้าน, ในชุมชน, ในป่าฯลฯ (เช่น ในกระถาง, ในขวดน้ำ, ในอ่างน้ำ, ในภาชนะแตก, บนใบไม้ ฯลฯ) เช่นเดียวกับยุงลายที่ก่อโรคไข้เลือดออกและโรคไข้ปวดข้อยุงลาย

ธรรมชาติของไวรัสซิกา ยังมีการศึกษาน้อยเนื่องจากการวินิจฉัยโรคติดเชื้อนี้เป็นไปอย่างยากมากจากที้เป็นโรคไม่รุนแรง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่มีอาการ และถึงมีอาการก็ไม่รุนแรง มักหายได้เอง ผู้ป่วยจึงมักไม่มาพบแพทย์/มาโรงพยาบาล ดังนั้นปัจจุบันจึงยังไม่ค่อยมีรายละเอียดข้อมูลของไวรัสชนิดนี้

ไวรัสซิกาพบได้ทั่วโลกที่พบยุงลาได้ โดยไวรัสซิกาเป็นไวรัส/เชื้อประจำถิ่นของทวีป อัฟริกา, ทวีปอเมริกาในส่วนอเมริกากลางและอเมริกาใต้, ทวีปเอเชีย เช่น อินเดีย, หมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิก และประเทศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, กัมพูชา, ลาว, รวมถึงประเทศไทย

ไวรัสซิกา เคยก่อการระบาดมาแล้วในประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก และในปี ค.ศ 2016 (พ.ศ. 2559) ก็มีการระบาดในประเทศแถบลาตินอเมริกาจนองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การ ติดเชื้อไวรัสซิกานี้เป็นภัยฉุกเฉินด้านสาธารณสุขต่อทุกประเทศทั่วโลก (Global health emergency) ทั้งนี้เพื่อให้ทั่วโลกได้ตระหนักและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนี้แต่เนิ่นๆ

ประเทศไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขรายงานเบื้องต้นในการพบเชื้อนี้ในปี พ.ศ. 2506 จากการพบสารภูมิต้านทานโรคนี้ในเลือดผู้ป่วยในกรุงเทพฯ 1 ราย แต่ที่มีการยืนยันทางการ แพทย์แน่ชัดว่าเป็นการติดเชื้อนี้คือในปี พ.ศ. 2555 ซึ่งตั้งแต่พ.ศ. 2555 - 2558 พบผู้ป่วยที่พิสูจน์ทางการแพทย์ว่าติดเชื้อนี้ปีละประมาณ 2 - 5 ราย อย่างไรก็ตามยังไม่เคยมีรายงานการตายจากโรคนี้ในไทย (บรรณานุกรม 8)

ไวรัสซิกา ก่อโรคได้ในคนทุกอายุตั้งแต่ทารกในครรภ์ไปจนถึงผู้สูงอายุ พบในผู้หญิงและผู้ชายใกล้เคียงกัน ดังกล่าวแล้วโรคติดเชื้อไวรัสซิกาวินิจฉัยได้ยาก มักไม่มีอาการ และถึงแม้มีอาการ อาการจะไม่รุนแรง ดังนั้นปัจจุบันจึงยังไม่ทราบสถิติการเกิดโรคนี้ที่ชัดเจน

โรคติดเชื้อซิกา, โรคไข้เลือดออก, และโรคปวดข้อยุงลาย เป็นโรคที่เกิดจากยุงลายชนิดเดียวกัน ต่างกันแต่สายพันธุ์ของไวรัส ดังนั้น ธรรมชาติของยุงลาย, วิธีติดต่อของโรค, รวมถึงวิธีป้องกันโรค, เหมือนกันทุกประการ นอกจากนั้นอาการของโรคก็จะคล้ายกันมาก ต่างกันแต่โรคติดเชื้อไวรัสซิกาจะมีอาการน้อยกว่ามากและมีการพยากรณ์โรคที่ดีกว่าอีก 2 โรคดังกล่าวมาก


ติดเชื้อไวรัสซิกาได้ทางใดบ้าง?ใครมีปัจจัยเสี่ยง?

ดังกล่าวแล้วในบทนำ สาเหตุ/วิธีการติดเชื้อไวรัสซิกาเกือบทั้งหมด เป็นการติดเชื้อไวรัสซิกา(ZIKV)จากถูกยุงลายกัด ทั้งนี้โรคนี้ไม่ติดต่อจากคนสู่คนโดยตรงจากการสัมผัสคลุกคลี แต่จะเกิดจากคนถูกกัดโดยยุงลายที่มีเชื้อไวรัสนี้

อนึ่งมีรายงานพบเชื้อไวรัสซิกาได้ใน น้ำอสุจิ, สารคัดหลั่ง, และในเลือด (มักพบอยู่ในเลือดในช่วงแรกๆนับจากถูกยุงกัด (มักไม่เกิน 7 วัน) ทั่วไปประมาณ 3 - 4 วัน ดังนั้นโรคนี้ จึงมีความเป็นไปได้ที่สามารถติดต่อได้จาก

  • ทางเพศสัมพันธ์: ซึ่งมักเป็นการแพร่ติดต่อจากน้ำอสุจิฝ่ายชาย ยังไม่มีรายงานว่าติดต่อมาจากฝ่ายหญิง

  • จากการคลอดบุตร

  • จากน้ำนมมารดา

  • จากการให้เลือด ถ้ากิจกรรมนั้นๆเกิดในช่วงระยะเวลาที่มีเชื้อนี้ในเลือด

  • จากสัมผัสสารคัดหลั่งผู้ติดโรคนี้


ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคติดเชื้อไวรัสซิกา: ทั่วไป ผู้มีปัจจัยเสี่ยงติดเชื้อไวรัสซิกา คือ

  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในถิ่นที่มีไวรัสชนิดนี้เป็นเชื้อประจำถิ่น เช่น แถบลาตินอเมริกา, แถบอัฟริกา

  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตที่มียุงลายชุกชุม

  • นักท่องเที่ยวหรือการเดินทางไปยังถิ่นที่อยู่อาศัยของเชื้อนี้/ของยุงลาย

  • ไม่รู้จักป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัด


โรคติดเชื้อไวรัสซิกามีอาการอย่างไร?

ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสซิกาจากถูกยุงลายที่มีเชื้อนี้กัด จะมีเพียงประมาณ 1/4 ถึง 1/5 เท่านั้นที่มีอาการ *ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ

กรณีผู้มีอาการ มักแสดงอาการภายหลังถูกยุงลายที่มีเชื้อนี้กัด (ระยะฟักตัวของโรค) ในระยะเวลาประมาณ 2 - 14 วัน (ทั่วไป 2 - 7 วัน) โดยอาการจะคล้ายอาการโรคไข้เลือดออกหรือโรคปวดข้อยุงลาย แต่อาการจะรุนแรงน้อยกว่ามาก อาการดังกล่าว ได้แก่

  • มีไข้เฉียบพลัน มักเป็นไข้ไม่สูงมากมักประมาณไม่เกิน 38.5 องศาเซลเซียส (Celsius) ไข้เลือดออกและโรคปวดข้อยุงลายมักเป็นไข้สูงมากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส

  • ปวดศีรษะ/ ปวดหัวแต่ไม่มาก

  • ปวดข้อแต่ไม่มาก ซึ่งโรคปวดข้อยุงลายจะปวดข้อมากจนมีผลต่อการเคลื่อนไหว

  • อ่อนเพลียไม่มาก ซึ่งไข้เลือดออกจะอ่อนเพลียมาก

  • มีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนังได้ทั่วร่างกาย

  • *เยื่อตาอักเสบ (อาการสำคัญคือ ตาแดง) ซึ่งเป็นอาการที่แตกต่างจากไข้เลือดออก และโรคปวดข้อยุงลายที่มักจะไม่มีอาการนี้

ทั้งนี้ มักมีอาการอยู่ประมาณ 3 - 7 วัน อาการก็จะค่อยๆดีขึ้นโดยมักหายได้เองภายใน 7 วันจากการดูแลตนเองตามอาการ


ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?

ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่ออาการต่างๆดังกล่าวรุนแรง เช่น

  • ไข้สูงและไข้ไม่ลงใน 2 - 3 วัน

  • ปวดศีรษะมาก

  • อ่อนเพลียมาก

  • มีจุดเลือดออกตาม ลำตัว แขนขา

  • เมื่อสงสัยเป็นไข้เลือดออกหรือเป็นไข้ปวดข้อยุงลาย


แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสซิกาได้อย่างไร?

โรคติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นโรควินิจฉัยได้ยากเพราะอาการเหมือนโรคติดเชื้อทั่วไปโดยเฉพาะ ไข้เลือดออกหรือโรคปวดข้อยุงลายชนิดที่ไม่รุนแรง ผู้ป่วยจึงมักถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเหล่านั้นโดยไม่มีการตรวจหาว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซิกาหรือไม่ นอกจากนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่ติดเชื้อโดยไม่มี อา การหรืออาการไม่รุนแรง ซึ่งเมื่อดูแลตนเองในเบื้องต้นที่บ้านอาการก็จะหายได้ปกติ จึงไม่มีการตรวจยืนยันทางการแพทย์ว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซิกา


อย่างไรก็ตามแพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัสซิกาได้จาก

  • การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ซึ่งที่สำคัญคือ ประวัติอาการ, ประวัติการเดินทาง, ถิ่นที่อยู่อาศัย, ประวัติมีคนเจ็บป่วยด้วยไวรัสซิกาในบ้าน/ในถิ่น/ในชุมชนนั้น

  • การตรวจร่างกาย,

  • ตรวจเลือด ซีบีซี/CBC,

  • ตรวจเลือดดูสารภูมิต้านทานที่เรียกว่า Immunoglobulin ย่อว่า Ig ชนิด IgM และชนิด IgG ซึ่งจะได้ผลบวกในช่วง 3 - 4 วัน (บางคนอาจถึง 7 วัน) นับจากมีอาการ โดยหลังจากช่วงนี้ มักไม่สามารถตรวจพบได้

  • ตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสนี้ด้วยวิธีที่เรียกว่า RT- PCR (Reverse transcriptase polymerase cell reaction) ซึ่งมีโอกาสพบได้สูงในช่วง 1 - 3 วันนับจากมีอาการ หรือ

  • ตรวจเชื้อนี้ในน้ำลายและ/หรือในปัสสาวะภายในช่วง 3 - 5 วันนับจากมีอาการ


โรคติดเชื้อไวรัสซิกามีผลข้างเคียงและมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

โดยทั่วไปไวรัสซิกาไม่ก่อผลข้างเคียง เพราะดังกล่าวแล้วว่าเป็นโรคไม่รุนแรง ผู้ป่วยเกือบทุกคนหายได้เองจากการดูแลตนเองในเบื้องต้นโดยไม่ต้องพบแพทย์ และยังเชื่อว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสนี้ อาจมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคนี้ได้ในระยะยาว อาจตลอดชีวิต กล่าวคือ ไม่ติดเชื้อโรคนี้อีก

อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสนี้ผ่านรกได้ ดังนั้นในหญิงตั้งครรภ์(ยังไม่มีการศึกษาระบุได้ชัดเจนว่า ตั้งครรภ์ช่วงใดมีโอกาสที่ทารกจะติดเชื้อได้มากหรือน้อยอย่างไร) เชื้อไวรัสนี้จะก่อให้เกิดการเจริญเติบโตที่ผิดปกติกับสมองของทารกในครรภ์ ส่งผลให้ทารกเกิดความพิการแต่กำเนิดได้ คือ

  • โรคศีรษะเล็ก กล่าวคือกะโหลกศีรษะและสมองเจริญเติบโตไม่เต็มที่ สมองมีพัฒนาการล่าช้า (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ศีรษะเล็ก)

  • ภาวะมีหินปูน (Calcification)จับในเนื้อสมอง และ/หรือที่ เยื่อตา

  • มีลูกตาเจริญเติบโตเล็กผิดปกติ (Microophthalmia) ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นภาพ

  • ทารกมักมี

    • การเจริญเติบโตช้า ด้อยกว่าเกณฑ์

    • สติปัญญาด้อยกว่าเกณฑ์

    • มีปัญหาในการกินอาหาร

    • มีอาการชัก

    • มีปัญหาการได้ยิน

ดังนั้นหลายประเทศ จึงห้ามสตรีตั้งครรภ์ หรือสตรีที่วางแผนจะตั้งครรภ์ เดินทางไปยังประเทศที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น และในบางประเทศยังแนะนำให้สตรีที่เพิ่งเดินทางกลับจากประเทศที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น ในระยะเวลาประมาณ 1 ปีหลังกลับประเทศดังกล่าว ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์

ส่วนการพยากรณ์โรค โดยทั่วไปของโรคติดเชื้อไวรัสซิกา เป็นโรคมีการพยากรณ์โรคที่ดี โรคมักรักษาได้หายจากการรักษาตามอาการ และยังไม่มีรายงานการตายด้วยสาเหตุจากโรคนี้

*นอกจากนั้น มีรายงานพบว่าผู้ป่วยโรคไข้ซิกา เป็นปัจจัยเกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลันที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการทำลายเซลล์เส้นประสาทส่วนปลายที่เรียกว่า กลุ่มอาการกิลแลงบาร์เร หรือ โรคจีบีเอส

อนึ่ง จากการศึกษา ยังเชื่อว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสนี้ อาจมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคนี้ได้ในระยะยาว อาจตลอดชีวิต กล่าวคือไม่ติดเชื้อโรคนี้อีก


มีแนวทางรักษาโรคติดเชื้อไวรัสซิกาอย่างไร?

ปัจจุบันยังไม่มียารักษาเฉพาะ หรือ วัคซีนในการรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ดังนั้น การรักษาคือการรักษาตามอาการ เช่น

  • ยาลดไข้ Paracetamol ซึ่ง ไม่ควรใช้ยาลดไข้ Aspirin และยาในกลุ่มเอ็นเสด เช่น ยา Ibuprofen เพราะอาจก่อผลข้างเคียงจากยาที่รุนแรงอาจถึงตายที่เรียกผลข้างเคียงนี้ว่า การแพ้ยาแอสไพริน-กลุ่มอาการราย (Reye syndrome)

  • ยาแก้ปวด Paracetamol

  • พักผ่อนให้เต็มที่

  • ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้วเมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่มเพื่อป้อง กันภาวะขาดน้ำ

  • รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลภายใน 2 - 3 วันหากหลังดูแลตนเองแล้วยังมีอาการไข้สูง และ/หรืออาการต่างๆดังกล่าวแล้วใน หัวข้อ อาการฯ รุนแรงขึ้น เพราะอาจเป็นโรคที่จำเป็นต้องพบแพทย์ เช่น ไข้เลือดออก โรคปวดข้อยุงลาย หรือ ไข้หวัดใหญ่


ดูแลตนเองและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกาอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซิกาที่สำคัญคือ

  • ปฏิบัติ ตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ

  • กินยา/ใช้ยาต่างๆตามแพทย์แนะนำ ไม่หยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน

  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ


อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคติดเชื้อไวรัสซิกา คือ

  • การใช้ยาลดไข้ Paracetamol ทั้งนี้ไม่ควรใช้ยาลดไข้ Aspirin และยาในกลุ่มเอ็นเสดเช่น ยา Ibuprofen เพราะอาจก่อผลข้างเคียงจากยาที่รุนแรงอาจถึงเสียชีวิตที่เรียกผลข้างเคียงนี้ว่า การแพ้ยาแอสไพริน-กลุ่มอาการราย (Reye syndrome)

  • ยาแก้ปวด Paracetamol

  • พักผ่อนให้เต็มที่

  • ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นอย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้วเมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่มเพื่อป้อง กันภาวะขาดน้ำ

  • ในเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันทารกในครรภ์ติดโรคนี้:

    • คุมกำเนิดช่วงติดโรคนี้ไปจนถึงประมาณ 1 ปีหลังติดโรคนี้ โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตั้งครรภ์เสมอ

    • คุมกำเนิดอย่างน้อย 2 เดือน หลังการท่องเที่ยว/เดินทางไปยังถิ่นของไวรัสซิกา

    • คุมกำเนิดอย่างน้อยประมาณ 6 เดือน หลังกลับจากท่องเที่ยว/เดินทางไปยังถิ่นโรคนี้แล้วมีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัสซิกา

  • ถ้าตั้งครรภ์เมื่อติดเชื้อโรคนี้: ต้องรีบแจ้งให้สูตินรีแพทย์ทราบเพื่อการตรวจติดตามการเกิดโรคของทารกในครรภ์เพื่อการดูแลรักษาที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆ


ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?

ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ

  • อาการไม่ดีขึ้นหรือเลวลงหลังกินยาหรือหลังปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ เช่น ไข้สูง ปวดหัวมาก มีเลือดออกตามอวัยวะต่างๆ

  • มีอาการใหม่ที่ไม่เคยมี เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด/อุจจาระดำเหมือนยางมะตอย แขนขาอ่อนแรง ซึม หรือชัก

  • กังวลในอาการ


ป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกาได้อย่างไร?

ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกา แต่มีการป้องกันคือ การป้องกันการถูกยุงลายกัดโดย

  • กำจัดแหล่งน้ำขังในบ้าน, รอบบ้าน, ชุมชน เช่นเดียวกับในเรื่องการป้องกันไข้เลือดออก

  • ป้องกันตนเองจากถูกยุงลายกัดโดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในถิ่นที่อยู่ของยุงลาย คือ ใช้ยากันยุงหรือยาทากันยุง, นอนกางมุ้ง, สวมใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาว

  • เมื่อตั้งครรภ์ไม่เดินทางไปยังแหล่งที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น

  • เมื่อกลับจากประเทศที่มีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่นภายในประมาณ 1 ปี เมื่อประสงค์จะตั้ง ครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ


อ้างอิง: หาหมอ


ข้อมูลในระบบนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ ประกอบการเรียนการสอน | copyright © thai-herbs.thdata.co

สร้างบทความของคุณ โดยวิธีการง่ายๆ



แชร์ข้อมูล




ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง