อ่านบทความอัตโนมัติ
วิตามินซี (Vitamin C, Ascorbic Acid)
วิตามินซี (Vitamin C) มีชื่อทางเคมีซึ่งเป็นตัวที่ออกฤทธิ์คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และร่างกายไม่สามารถสร้างหรือสังเคราะห์เองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับโดยการรับประทานอาหาร ซึ่งการเสริมวิตามินซีอาจทำได้โดยการเพิ่มการรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้ เช่น ส้ม กีวี มะละกอ แตงโม องุ่น แคนตาลูป บรอกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก หรือรับประทานวิตามินซีในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary supplement)
ปัจจุบันมีการนำมาวิตามินซีมาใช้ในทางคลินิกอย่างแพร่หลาย ทั้งการป้องกันและการรักษาโรคต่าง ๆ ในบทความนี้จะมากล่าวถึงประโยชน์ของวิตามินซีทางการแพทย์กันอย่างละเอียดตามงานวิจัย รวมถึงผลเสียและข้อควรระวังของการใช้วิตามินซี
แหล่งอาหาร
รวมผักและผลไม้ที่ให้วิตามินซีมากที่สุดต่อ 100 กรัม จากมากไปน้อย ตามข้อมูลของ USDA FoodData Central และข้อมูลจากสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย ได้แก่
คาคาดูพลัม (Kakadu plum) เป็นผลไม้พื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย ใน 100 กรัม จะให้วิตามินซี 2,907 มก.
อะเซโรลาเชอร์รี่ (Acerola Cherry) 100 กรัม ให้วิตามินซี 1,680 มก.
โรสฮิป (Rose Hips) หรือ ผลกุหลาบป่า 100 กรัม ให้วิตามินซี 426 มก.
มะขามป้อม 100 กรัม ให้วิตามินซี 276 มก.
ฝรั่ง 100 กรัม ให้วิตามินซี 228 มก.
พริกหวานสีเหลือง 100 กรัม ให้วิตามินซี 184 มก.
แบล็กเคอร์แรนต์ (Blackcurrant) 100 กรัม ให้วิตามินซี 181 มก.
ผักคะน้า 100 กรัม ให้วิตามินซี 147 มก.
พาร์สลีย์ (Parsley) 100 กรัม ให้วิตามินซี 133 มก.
ผักปวยเล้ง 100 กรัม ให้วิตามินซี 120 มก.
เงาะโรงเรียน 100 กรัม ให้วิตามินซี 97 มก. ad
ผักเคล (Kale) 100 กรัม ให้วิตามินซี 93.4 มก.
พริกหวานสีเขียว 100 กรัม ให้วิตามินซี 80.4 มก.
กีวี 100 กรัม ให้วิตามินซี 74.7 มก.
ลิ้นจี่ 100 กรัม ให้วิตามินซี 71.5 มก.
ลูกพลับ 100 กรัม ให้วิตามินซี 66 มก.
บรอกโคลี 100 กรัม ให้วิตามินซี 64.9 มก.
กะหล่ำดาว (Brussels sprouts) 100 กรัม ให้วิตามินซี 62 มก.
มะละกอ 100 กรัม ให้วิตามินซี 60.9 มก.
ส้ม 100 กรัม ให้วิตามินซี 59.1 มก. (ส้ม 1 ผล หนักประมาณ 140 กรัม ให้วิตามินซีประมาณ 82.7 มก.)
สตรอว์เบอร์รี 100 กรัม ให้วิตามินซี 58.8 มก (สตรอว์เบอร์รี 1 ถ้วย ให้วิตามินซีประมาณ 84.7 มก.)
มะนาว 100 กรัม ให้วิตามินซี 53 มก.
ถั่วลันเตา 100 กรัม ให้วิตามินซี 40 มก.
มะม่วง 100 กรัม ให้วิตามินซี 36.4 มก.
เกรปฟรุต 100 กรัม ให้วิตามินซี 31.2 มก.
มะเขือเทศ 100 กรัม ให้วิตามินซี 13.7 มก.
แคนตาลูป 100 กรัม ให้วิตามินซี 10.9 มก.
กล้วย 100 กรัม ให้วิตามินซี 8.7 มก.
แครอท 100 กรัม ให้วิตามินซี 5.9 มก.
แอปเปิ้ล 100 กรัม ให้วิตามินซี 4.6 มก.
โทษของวิตามินซี
การขาดวิตามินซี
1. โรคลักปิดลักเปิดมีเหตุจากการขาดวิตามินซี เพราะเมื่อไม่มีวิตามิน คอลลาเจนที่ร่างกายผลิตจะไม่เสถียรพอเพื่อใช้งาน โรคทำให้มีจุดน้ำตาลบนผิวหนัง เหงือกยุ่ย และเลือดออกตามเยื่อเมือก จุดดังว่าเกิดมากสุดที่ขา คนไข้จะดูซีด ซึมเศร้า และอ่อนล้า ถ้าเป็นมาก แผลจะไม่ค่อยหาย ฟันร่วง จนถึงเสียชีวิตได้ ร่างกายมนุษย์สามารถเก็บสะสมวิตามินซีเป็นปริมาณจำกัดเท่านั้น ดังนั้น ก็จะหมดไปถ้าไม่ได้เพิ่ม แต่การปรากฏอาการของผู้ใหญ่ที่ไม่ขาดวิตามินแล้วทานอาหารที่ไม่มีวิตามินซีเลย อาจกินเวลาตั้งแต่เดือนหนึ่งจนถึงมากกว่า 6 เดือนขึ้นอยู่กับปริมาณวิตามินซีสะสมก่อนหน้านี้
มีงานศึกษาเด่นที่ทดลองก่อโรคในผู้ปฏิเสธไม่ยอมเป็นทหารโดยอ้างมโนธรรมในประเทศอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และในนักโทษรัฐไอโอวา (สหรัฐ) ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 จนถึง 1980 งานศึกษาทั้งสองพบว่า อาการโรคลักปิดลักเปิดต่าง ๆ ที่ปรากฏเพราะทานอาหารที่มีวิตามินซีน้อยมากสามารถแก้ได้ทั้งหมดโดยเสริมวิตามินซีเพียงแค่ 10 มก./วัน ในงานทดลองเหล่านี้ ไม่มีความแตกต่างทางคลินิกระหว่างชายที่ได้วิตามิน 70 มก./วัน (ซึ่งทำให้มีความเข้มข้นวิตามินในเลือด 0.55 มก./ดล. อันเป็น 1/3 ของระดับอิ่มตัวในเนื้อเยื่อโดยประมาณ) กับชายที่ได้ 10 มก./วัน นักโทษในงานศึกษาเกิดอาการโรคประมาณ 4 สัปดาห์หลังเริ่มทานอาหารปลอดวิตามินซี เทียบกับงานศึกษาในอังกฤษที่ต้องใช้เวลา 6-8 เดือนโดยน่าจะเป็นเพราะการเร่งให้ทานอาหารเสริมขนาด 70 มก./วันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ก่อนให้ทานอาหารขาดวิตามิน
ชายในงานทั้งสองที่ทานอาหารเกือบไร้วิตามิน มีวิตามินซีในเลือดต่ำกว่าที่จะวัดได้อย่างแม่นยำเมื่อเริ่มเกิดอาการโรค ในนักโทษรัฐไอโอวา ได้ประเมิน (โดยวิธี Carbon-14 labeled l-ascorbic acid) ในช่วงปรากฏโรคนี้ว่า มีปริมาณสะสมในร่างกายน้อยกว่า 300 มก. โดยใช้ต่อวันลดลงเหลือเพียงแค่ 2.5 มก
การได้รับวิตามินซี เกินขนาด
1. ผลต่อระบบย่อยอาหาร เป็นผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจพบได้เมื่อเสริมวิตามินซีในขนาดสูงตั้งแต่ 2,000 มก. ขึ้นไป โดยอาจทำให้มีอาการแสบท้อง ปวดท้อง ท้องร่วง ท้องเสีย ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน หรือมีอาการแสบร้อนกลางอกได้ โดยเป็นผลมาจากระบบย่อยอาหารไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเกิดจากการอิ่มตัวของการดูดซึมและทำให้วิตามินซีที่ไม่ได้ดูดซึมมีปริมาณมากขึ้นและอยู่ในทางเดินอาหารจนทำให้เกิดอาการข้างเคียงตามมา อย่างไรก็ตาม ขนาดของวิตามินซีที่กระตุ้นให้เกิดอาการดังกล่าวมักจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลตั้งแต่วันละ 2,000-10,000 มก.
2. เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ ระดับวิตามินซีในเลือดที่สูงกว่า 60 µmol/L สัมพันธ์การความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำกว่านี้
การศึกษาเชิงสังเกตในผู้ใหญ่เกือบ 10,000 คน (อายุเฉลี่ย 46 ปี) ในสหรัฐอเมริกาที่ติดตามมาประมาณ 10 ปี พบว่าผู้ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดที่สูงประมาณ 60 µmol/L หรือมากกว่า (ใกล้เคียงกับระดับอิ่มตัว) จะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุเพิ่มขึ้น 33%, และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น 60% เมื่อเทียบกับผู้ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำกว่านี้
การเสริมวิตามินซีด้วยอาหารเสริมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงที่มีบริโภควิตามินซีจากอาหารในปริมาณมากอยู่แล้ว โดยมีการศึกษาเชิงสังเกตในฝรั่งเศสเป็นระยะเวลา 10 ปี ในผู้หญิง 57,403 คน พบว่าผู้หญิงที่บริโภควิตามินซีจากอาหารปกติปริมาณมากจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในวัยหมดประจำเดือนลดลงเมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภคน้อย แต่ในผู้หญิงที่บริโภควิตามินซีจากอาหารปกติในปริมาณมากอยู่แล้วและรับวิตามินซีจากอาหารเสริมด้วย พบว่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมในวัยหมดประจำเดือน (ไม่ได้ช่วยลด)
3. อาจทำให้ DNA เสียหาย มีหลักฐานในหลอดทดลอง (in-vitro) ที่พบว่าวิตามินซีอาจทำให้เกิดการผลิตสารพันธุกรรมที่สร้างความเสียหายต่อดีเอ็นเอ (DNA-damaging genotoxins) และพัฒนาไปเป็นมะเร็งได้ (หลายคนเชื่อว่าอาหารเสริมวิตามินซีอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้ แต่ความเชื่อนี้กลับให้ผลตรงกันข้ามและไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นจริงในหลอดทดลอง) [69] นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน British journal Nature (โดย Dr.Victor Herbert) ที่พบว่าการเสริมวิตามินซีแบบอาหารเสริมวันละ 500 มก. อาจส่งเสริมให้เกิดความเสียหายทางพันธุกรรมหรือทำให้ DNA เสียหาย หรือทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยในประเด็นนี้ยังมีความขัดแย้งกับงานวิจัยอื่น ๆ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันต่อไป และผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่า ในบุคคลปกติทั่วไปที่มีสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินซีเสริม (แต่ถ้าจะเสริมก็ไม่ควรเกินวันละ 500 มก.) และแนะนำให้บริโภควิตามินซีจากอาหารปกติมากกว่า
4. ขัดขวางการฝึกความอดทนและการเพิ่มของมวลกล้ามเนื้อและกระดูกจากการออกกำลังกาย ปริมาณวิตามินซีและอีที่สูงดูเหมือนจะขัดขวางประโยชน์ที่เกิดจากการออกกำลังกาย ในเรื่องของการฝึกความอดทน (Endurance training), การฝึกความแข็งแรง (Resistance (strength) training), การเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อ และการเพิ่มขึ้นของมวลกระดูก (Bone density)
การศึกษาในกลุ่มผู้หญิงที่มีสุขภาพดีที่เข้าร่วมโปรแกรมฝึกความแข็งแรงเป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่าผู้ที่เสริมวิตามินซีวันละ 1,000 มก. ร่วมกับวิตามินอี 400 IU ไม่พบการเพิ่มขึ้นของมวลร่างกายส่วนที่ไร้ไขมัน (Fat-free mass) อย่างกล้ามเนื้อ กระดูก ในขณะที่กลุ่มได้รับยาหลอกพบว่ามีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งนักวิจัยสรุปว่า ผู้หญิงที่ต้องการเพิ่มมวลร่างกายส่วนที่ไร้ไขมัน (เพิ่มกล้ามเนื้อ) ควรหลีกเลี่ยงการเสริมวิตามินซีและอี
การศึกษาในประเทศนอร์เวย์ เป็นเวลา 11 สัปดาห์ ในผู้ชายและหญิงที่ฝึกวิ่งและปั่นจักรยาน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ที่เป็นตัวช่วยเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ ในขณะที่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในผู้ที่เสริมวิตามินซี 500 มก. หรือวิตามินอีสังเคราะห์ 260 IU (ส่วนประสิทธิภาพการใช้ออกซิเจนหรือ VO2 max เพิ่มขึ้นเท่า ๆ กันทั้งสองกลุ่ม)
การศึกษาในประเทศนอร์เวย์ที่ใช้วิตามินซีและอีสูงแบบเดียวกัน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ทำการศึกษาในผู้ชายสูงอายุที่มีสุขภาพดีที่เข้ารับการฝึกความแข็งแรง (Strength training) พบว่าความหนาแน่นของมวลกระดูกบริเวณหลังส่วนล่างเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่ได้รับยาหลอกมากกว่ากลุ่มที่ได้รับวิตามินซีและอี และยังพบว่าความหนาแน่นของมวลกระดูกที่สะโพกก็เพิ่มขึ้นด้วย แต่เพิ่มขึ้นเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับยาหลอกเท่านั้น
5. เสี่ยงต้อกระจก (Cataract) แม้การเสริมวิตามินซีในขนาดไม่เกิน 250 มก. สามารถช่วยลดโอกาสเกิดโรคต้อกระจกได้ แต่จากการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินซีในขนาดสูงทุกวันอาจจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกแทน โดยการศึกษาในประเทศสวีเดนกับผู้หญิงจำนวน 24,593 คน (อายุ 49-83 ปี) เป็นระยะเวลา 8 ปี พบว่ากลุ่มที่เสริมวิตามินซีวันละ 1,000 มก. มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อกระจกเพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับ ส่วนในผู้ที่เสริมวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปีก่อนการศึกษาพบว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 46%
6. เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตในผู้ชาย (ทำให้มีอาการปัสสาวะลำบาก) โดยความเสี่ยงนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ชาย แต่การได้รับวิตามินซีจากอาหารปกติไม่พบว่ามีความเสี่ยง การศึกษาในประเทศสวีเดนพบว่าความเสี่ยงของการเกิดนิ่วจะเพิ่มขึ้น 66% ในผู้ชายที่เสริมวิตามินซีในขนาด 1,000 มก. เป็นครั้งคราว และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 123% ในผู้ที่เสริมวิตามินซีสัปดาห์ละ 7 ครั้งขึ้นไป สอดคล้องกับการศึกษาในสหรัฐอเมริกาที่พบว่าความเสี่ยงการเกิดนิ่วจะเพิ่มขึ้น 16% ในผู้ชายที่เสริมวิตามินซีวันละ 1,000 มก. หรือมากกว่าจากอาหารเสริม ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาเชิงสังเกต 3 ชิ้น (รวมผู้หญิงมากกว่า 155,000 คน และผู้ชายมากกว่า 40,000 คน) ก็พบผลลัพธ์คล้ายกัน คือ ในผู้ที่เสริมวิตามินซี 1,000 มก. ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบผู้ที่ได้รับวิตามินซีน้อยกว่าวันละ 90 มก
เมื่อวิตามินซีหรือ Ascobic acid เข้าสู่ร่างกาย ก่อนถูกขับออกจากร่างกาย มันจะถูกเปลี่ยนเป็นกรดออกซาลิก (Oxalic acid) ก่อน ซึ่งกรดนี้เมื่อรวมกับแคลเซียมที่จะถูกขับออกทางปัสสาวะ จะทำให้เกิดผลึกแคลเซียมออกซาเลต (Calcium oxalate) ประกอบกับวิตามินซีอาจเพิ่มการดูดซึมออกซาเลตจากอาหารได้ด้วย ซึ่งเป็นผลึกที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการอุดตันในระบบทางเดินปัสสาวะหรือเกิดเป็นก้อนนิ่ว เพราะฉะนั้นในผู้ชาย โดยเฉพาะที่มีประวัติเป็นโรคนิ่วในไต หรือร่างกายมีความบกพร่องในการเผาผลาญออกซาเลต จะเป็นการดีกว่าถ้าจะหลีกเลี่ยงการเสริมวิตามินซีหรือเสริมไม่เกินวันละ 250 มก.
อย่างไรก็ตาม วิตามินซีอาจไม่ใช่สาเหตุหลักของการเกิดนิ่วในไตเสมอไป เพราะสาเหตุการเกิดยังได้หลายอย่าง เช่น จากอาหารบางชนิด การใช้ยา โรคบางอย่าง ฯลฯ ดังนั้น ในคนทั่วไปที่มีสุขภาพดีจึงยังสามารถเสริมวิตามินซีเพื่อบำรุงสุขภาพต่อไปได้ โดยทาง Medthai แนะนำว่า วิตามินซีวันละ 500 มก. คือขนาดที่เหมาะสม เพียงพอ และปลอดภัย
7. โรคปวดกระเพาะปัสสาวะ (Interstitial cystitis) การเสริมวิตามินซีรวมถึงผลิตภัณฑ์จากส้มอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ในผู้ที่เป็นโรคปวดกระเพาะปัสสาวะซึ่งเป็นอาการเรื้อรัง
8. โรคไตจากผลึกออกซาเลต (Oxalate crystal nephropath) การเสริมวิตามินซีวันละ1,000-2,000 มก. หรือมากกว่า อาจทำให้เกิดโรคไตที่เรียกว่า “Oxalate crystal nephropathy” ซึ่งเป็นภาวะที่ผลึกออกซาเลตสะสมอยู่ในท่อเนื้อเยื่อของไต ซึ่งอาจทำให้ไตเสียหายหรือไตวายได้
9. เพิ่มความเสี่ยงที่ตับจะถูกทำลายจากยาพาราเซตามอล โดยพบว่าการเสริมวิตามินซีในขนาดสูงวันละ 3,000 มก. ร่วมกับการใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ในขนาดสูง (Tylenol®) ความเสี่ยงที่ตับจะถูกทำลายจากยาพาราเซตามอลอาจเพิ่มมากขึ้น
10. เกิดการสะสมของธาตุเหล็ก เนื่องจากวิตามินซีช่วยในการดูดซึมของธาตุเหล็กจากอาหารได้ดีขึ้น ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดการสะสมของธาตุเหล็กในปริมาณมากเกินไปจนอาจทำให้เกิดภาวะเหล็กเกินในผู้ป่วยบางรายที่ไวต่อวิตามินซีได้ เช่น Thalassemia major หรือ Hemochromatosis ที่อาจทำให้เนื้อเยื่อและอวัยวะได้รับความเสียหายได้ถ้าหากได้รับวิตามินซีในขนาดสูงเป็นเวลานาน ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังในการใช้วิตามินซีในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว ส่วนในคนปกติที่มีสุขภาพดีพบว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
11. อาจลดระดับธาตุทองแดงในร่างกายได้เล็กน้อย การได้รับวิตามินซีในขนาดสูงอาจทำให้ระดับธาตุทองแดงในร่างกายลดลงได้เล็กน้อย โดยจากการศึกษาพบว่า ผู้ชายที่มีสุขภาพดีที่เสริมวิตามินซีขนาด 500 มก. วันละสามครั้ง (รวมวันละ 1,500 มก.) ติดต่อกันเป็นเวลาสองเดือน มีระดับโปรตีนที่เก็บและขนส่งธาตุทองแดงในร่างกาย (Ceruloplasmin) และระดับธาตุทองแดงในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนการศึกษาอื่นพบว่าการเสริมวิตามินซีในขนาดที่ลดลง (5-635 มก.) เป็นระยะเวลา 1 เดือน ธาตุทองแดงในเลือดไม่ได้ลดลง (แม้ว่าในขนาด 635 มก. จะลดการทำงานของโปรตีน Ceruloplasmin)
12. อาจลดประสิทธิภาพของยาต้านไวรัส HIV มีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าการเสริมวิตามินซีในขนาดสูงวันละ 1,000 มก. อาจลดประสิทธิของยาอินดินาเวียร์ (Indinavir) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสเอชไอวี
13. อาจรบกวนการดูดซึมของยาต้านซึมเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic antidepressants)
14. อาจลดประสิทธิภาพของยากลุ่มสแตติน (Statins) มีความกังวลว่าการเสริมวิตามินซีอาจลดผลของยาสแตติน โดยมีการศึกษาในผู้ที่เป็นโรคหัวใจและมีระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ต่ำ พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 1,000 มก. ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่น ๆ (วิตามินอี, เบต้าแคโรทีน และซีลีเนียม) มีผลไปลดประสิทธิภาพการลดคอเลสเตอรอลของยาซิมวาสแตติน (Simvastatin) ที่รับประทานร่วมกับไนอะซิน (Niacin) ขนาดสูง 2,000 มก. อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าเกิดจากวิตามินซี, สารต้านอนุมูลอิสระอื่น หรือเกิดจากไนอะซิน
15. อาจรบกวนผลของยาวาร์ฟาริน (Warfarin) เคยมีรายงานการศึกษาในผู้ป่วยเมื่อปี 1970 ที่พบว่าการเสริมวิตามินซีอาจทำให้ฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดของยาวาร์ฟารินลดลง แต่จากการศึกษาใหม่ ๆ พบว่าการได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดร่วมกับวิตามินซีวันละ 1,000 มก. เป็นเวลา 6 เดือน ไม่ได้ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาวาร์ฟารินแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวแนะนำว่าผู้ที่รับประทานยาวาร์ฟาริน/ยาเจือจางเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด ควรควบคุมการทานวิตามินซีไม่ให้เกินวันละ 1,000 ม
16. การเสริมวิตามินซีร่วมกับยาพิกโนจีนอล (Pycnogenol®) หรือสารสกัดจากเปลือกสน มีการศึกษาที่พบว่า การใช้ร่วมกันอาจทำให้ระดับความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
17. การเสริมวิตามินซีอาจทำให้ผลแล็ปบางอย่างคลาดเคลื่อน เช่น น้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอล เลือดแฝงจากการตรวจอุจจาระ การเสริมวิตามินซีและวิตามินรวมที่มีวิตามินซีมากกว่า 250 มก. ขึ้นไป อาจทำให้เกิดผลลบปลอมในการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (gFOBT) จึงควรงดการเสริมวิตามินซีเป็นเวลา 3 วันก่อนทำการเก็บตัวอย่าง อย่างไรก็ตาม การตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระด้วยวิธีใหม่ (Fecal Immunochemical Test หรือ FIT) จะไม่ได้รับผลกระทบจากการเสริมวิตามินซี วิตามินซีอาจมีรบกวนผลการตรวจปัสสาวะด้วย Urine dipstick test สำหรับวัดกลูโคส ฮีโมโกลบิน และเอนไซม์ลิวโคไซต์เอสเทอเรส
ประโยชน์ของวิตามินซี
มีการศึกษาและงานวิจัยมากมายที่ระบุว่าวิตามินซีอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ ดังนี้
1. มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต่อต้านและลดระดับอนุมูลอิสระได้ เมื่ออนุมูลอิสระในร่างกายลดลงและกลับมาอยู่ในระดับปกติ ความเสี่ยงของโรคที่มาจากการอักเสบและความเสียหายเรื้อรังของเซลล์ภายในร่างกายก็จะลดลง พูดง่าย ๆ ก็คือ วิตามินซีมีส่วนช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ป้องกันการถูกทำลายและการตายของเซลล์ต่าง ๆ วิตามินซีจึงอาจส่งผลดีต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันหลายชนิด เช่น LDL, ลดการเกิดสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง, ช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์บุหลอดเลือดด้านใน (Endothelia cell) จึงดีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น
อนุมูลอิสระเป็นสารที่เกิดขึ้นจากกลไกธรรมชาติในร่างกายร่วมกับการมีปัจจัยภายนอกมากระตุ้น หากร่างกายมีอยู่มากเกินไปก็จะทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลของร่างกายหรือภาวะเครียดออกซิเดชั่น (Oxidative Stress) ทำให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ กระตุ้นการอักเสบของร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงของโรคและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงหรือโรคเรื้อรังไปจนถึงโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง
2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน จากการศึกษาพบว่าวิตามินซีมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ช่วยเสริมความแข็งแรงและป้องกันความเสียหายของเม็ดเลือดขาวที่เป็นผลมาจากอนุมูลอิสระ โดยรวมจึงทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือสูบบุหรี่ ที่พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ก็จะทำให้เกิดโรคหรืออาการของโรครุนแรงขึ้นได้
เม็ดเลือดขาวเป็นหนึ่งในสารภูมิต้านทาน (Antibody) ของร่างกาย มีหน้าที่ในการต่อต้านและกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย เมื่อกำจัดเชื้อโรคแปลกปลอมสำเร็จ เม็ดเลือดขาวก็จะจดจำวิธีการตอบสนองต่อเชื้อโรคชนิดนั้น ๆ และส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น โดยจะช่วยลดความรุนแรง ความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือการป่วยจากเชื้อชนิดเดิมได้
3. ผลิตคอลลาเจน วิตามินซีช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบโครงสร้างที่สำคัญในผนังหลอดเลือด เหงือก ผิวหนัง และกระดูก ทำให้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ที่ฟื้นตัวจากบาดแผลหรือการผ่าตัด วิตามินซียังช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารเสริมและอาหารจากพืช (คอลลาเจนประกอบขึ้นเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในผิวหนัง กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และหลอดเลือด การมีคอลลาเจนเพียงพอไม่เพียงแต่ทำให้ผิวและข้อต่อแข็งแรง แต่ยังช่วยรักษาความดันโลหิตของคุณโดยการรักษาหลอดเลือดแดงและเส้นเลือดของคุณให้แข็งแรง)
4. อาจช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น (เล็กน้อย) วิตามินซีเป็นสารที่อยู่ในกลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว (Tyrosinase inhibitor) ออกฤทธิ์โดยการไปลดจำนวนของสารควิโนน (Quinones) ที่เป็นตัวเปลี่ยนไปเป็นเม็ดสีผิวที่ทำให้ผิวคล้ำหรือดำ นอกจากนี้วิตามินซียังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดสารอนุมูลอิสระที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีผิว และช่วยป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดที่เป็นตัวทำให้ผิวคล้ำ เพราะฉะนั้นตามหลักการเสริมวิตามินซีจึงน่าจะช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการเสริมวิตามินซีในรูปของอาหารเสริมจะช่วยให้ขาวกระจ่างใสขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาต่อไป
ขนาดที่แนะนำเพื่อความเปลี่ยนแปลงของผิวคือ ขนาด 500 มก. วันละ 2 ครั้ง (หลังอาหารเช้าและเย็น รวมเป็นวันละ 1,000 มก.) ร่วมกับการดูแลผิวอย่างเหมาะสมในทุก ๆ วัน (เช่น การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงแสงแดด) ก็จะได้ประโยชน์มากที่สุด (มากกว่าการทาน 1,000 มก. ครั้งเดียว) โดยอาจจะเริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสีผิวเมื่อทานอย่างต่อเนื่อง 30 วันขึ้นไป เพราะเม็ดสีของเราจะมีอายุได้ประมาณ 30 วัน จึงต้องรอให้เม็ดสีผิวเก่าที่สร้างขึ้นก่อนหน้ามีการเสื่อมสภาพหรือหลุดลอกไปก่อน
5. ดีต่อสุขภาพผิวและริ้วรอย วิตามินซีมีอยู่ในผิวหนังตามธรรมชาติ มีบทบาทในการสังเคราะห์คอลลาเจนและช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระได้ (ในวัยชราหรือในผู้ที่ผิวถูกทำลายจากอนุมูลอิสระมักมีระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำกว่าปกติ และงานวิจัยส่วนใหญ่ในประเด็นนี้มักทำการศึกษาในรูปแบบครีมหรือเซรั่มสำหรับทาผิวมากกว่ารูปแบบรับประทาน โดยมีการศึกษาที่สำคัญดังนี้
การเสริมวิตามินซีในรูปแบบรับประทานพบว่า สามารถช่วยปกป้องกันผิวจากรังสียูวี (UV) เมื่อทานร่วมกับวิตามินอี และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นหรือผิวเสียก่อนวัยได้ แต่บางงานวิจัยก็ระบุว่ามีผลน้อย และยังมีข้อสรุปไม่ชัดเจน
การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของวิตามินซีและวิตามินอี สามารถช่วยลดความเสียหายต่อผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้เมื่อเทียบกับการใช้ครีมกันแดดเพียงอย่างเดียว ส่วนการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซีเพียงอย่างเดียวดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์ในการป้องกันรอยแดงจากรังสียูวีเมื่อเทียบกับสูตรยาหลอก
การศึกษาขนาดเล็กในผู้หญิง (อายุเฉลี่ย 55 ปี) พบว่าการใช้เซรั่มวิตามินซี 5% ทาวันละครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน ช่วยให้ริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหยาบกร้าน ผิวหย่อนคล้อย ดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับเซรั่มที่ไม่มีวิตามินซี
การวิจัยในห้องปฏิบัติการโดยใช้หนังสัตว์ พบว่าการดูดซึมของวิตามินซีในรูปแบบทาจะได้ผลดีที่สุดเมื่อผลิตภัณฑ์มีค่า pH น้อยกว่า 3.5 และมีความเข้มข้นของวิตามินซีที่ 10-20% แต่ปัญหาคือผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มักไม่ได้บอกรายละเอียดเหล่านี้เอาไว้ และโปรดทราบว่าวิตามินซีรูปแบบทาไม่สามารถซึมผ่านผิวชั้นบนสุด (Stratum corneum) ได้ง่าย และรูปแบบทาไม่ได้ช่วยเพิ่มระดับวิตามินซีในผิวหนังหากว่าร่างกายมีระดับวิตามินซีในเลือดที่อิ่มตัวอยู่แล้ว (ซึ่งเกิดเมื่อรับประทานวิตามินซีวันละ 500 มก.)
6. ป้องกันภาวะขาดวิตามินซี (Vitamin C deficiency) ภาวะนี้อาจพบได้ในผู้รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีไม่เพียงพอ หรือพบในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ การสูบบุหรี่ ภาวะแอลกอฮอล์เรื้อรัง และภาวะเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคหอบหืด โรคไตวายเรื้อรัง โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น และภาวะขาดวิตามินซียังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน ทำให้แผลหายช้าในผู้ป่วยที่มีแผล (การสมานแผลอาจลดลง) เกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ส่วนอาการแรกเริ่มของการขาดวิตามินซีมักจะไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อาจทำให้มีอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีอาการปวดตามแขนขา หายใจสั้น ข้ออักเสบ เป็นต้น ซึ่งการได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอต่อวันสามารถช่วยป้องกันโรคหรืออาการเหล่านี้ได้
เลือดออกตามไรฟัน (Scurvy) การขาดวิตามินซีเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคเลือดออกตามไรฟันได้ โดยจากการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำ (27 µmol/L หรือต่ำกว่าในผู้ใหญ่) หรือได้รับวิตามินซีจากการบริโภคอาหารต่ำ (เพียงวันละ 30-60 มก. ในผู้ใหญ่) สัมพันธ์กับการเกิดอาการเลือดออกตามไรฟัน และการเสริมวิตามินซีเฉลี่ยวันละ 222 มก. เป็นเวลา 41 วัน สามารถช่วยลดอาการเลือดออกตามไรฟันได้ (นักวิจัยแนะนำว่าปริมาณเพียงครึ่งหนึ่งหรือ 110 มก. ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะเป็นปริมาณที่มากกว่า RDA ที่แนะนำในผู้ใหญ่) อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดอยู่ในระดับปกติ คือ 48-70 µmol/L อาหารเสริมวิตามินซีจะไม่ได้ช่วยลดอาการเลือดออกตามฟัน
ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก การขาดวิตามินซีส่งผลต่อการดูดซึมของธาตุเหล็ก และหากร่างกายขาดธาตุเหล็กก็อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia) ได้ ซึ่งจะทำให้มีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกแรง อ่อนเพลีย ใจสั่น ง่วงนอน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ วูบหน้ามืด ตัวซีด ผมร่วง ผิวแห้ง เล็บผิดปกติ ฯลฯ
เล็บผิดปกติ การศึกษาพบว่าการขาดวิตามินซีอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพเล็บ เช่น ทำให้เล็บเว้าลงจนคล้ายรูปช้อน (Koilonychia), เล็บอ่อนและบางทำให้งอหรือหักได้ง่าย (Hapalonychia)ซึ่งอาจเป็นเพราะวิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็ก และการขาดธาตุเหล็กส่งผลต่อสุขภาพเล็บ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาใดแสดงให้เห็นได้ว่า การเสริมวิตามินซีจะช่วยให้เล็บมีสุขภาพดีขึ้นทั้งในคนปกติหรือในคนที่ร่างกายขาดวิตามินซีหรือธาตุเหล็ก
การอักเสบของข้อ การขาดวิตามินซีอาจทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการอักเสบ เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ โดยมีรายงานว่าผู้ป่วยจำนวน 10คน (อายุ 3-20 ปี) ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในเด็ก (Juvenile arthritis) และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) มีระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำผิดปกติ และการเสริมวิตามินซีวันละ 250-1,000 มก. สามารถช่วยให้ผู้ป่วยทั้ง 10 คนหายจากอาการดังกล่าวได้ สอดคล้องกับอีก 2 การศึกษาที่พบว่าวิตามินซีอาจช่วยหยุดการทำลายของข้อที่อักเสบได้
การขาดสารอาหารมีผลลดการทำงานของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่เหมาะสมและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะความดันหลอดเลือดแดงปอดสูง (Pulmonary arterial hypertension) โดยมีรายงานเรื่องนี้ในชายอายุ 60 ปีที่มีภาวะการขาดวิตามินซีอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก ขาบวม และอาการอื่น ๆ ของการขาดวิตามินซีที่ระบุไว้ข้างต้น แต่เมื่อให้การรักษาด้วยการเสริมวิตามินซี 1,000 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 เดือน อาการดังกล่าวก็หายไป (ระดับวิตามินซีในเลือดเพิ่มขึ้นจาก 5.7 µmol/L เป็น 85 µmol/L)
7. ลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัด การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำสามารถช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาในการเป็นหวัดได้เล็กน้อย (ส่วนการเสริมเมื่อเป็นหวัดไม่มีประโยชน์) และอาจช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้ในบางกรณี เช่น ในกลุ่มคนที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก หรือในช่วงฤดูหนาว (ปริมาณที่ Medthai แนะนำสำหรับไข้หวัดคือ 500 มก. วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น) ส่วนรายละเอียดการศึกษาที่สำคัญดังนี้
วิตามินซีช่วยในการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อโรคและช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น โดยจากการศึกษาพบว่า การเสริมวิตามินซีวันละ 250 มก. เป็นอย่างน้อย สามารถช่วยเพิ่ม Neutrophils chemotaxis (เป็นตัวป้องกันหลักของร่างกายจากเชื้อโรคต่าง ๆ) ได้ประมาณ 20% และผลด้านนี้จะดีขึ้นถ้าทานร่วมกับวิตามินอี
การเสริมวิตามินซีเป็นประจำช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัดได้ โดยที่ในเด็กจะมีแนวโน้มได้ประโยชน์มากกว่าผู้ใหญ่ และการเสริมวิตามินซีวันละ 2,000 มก. อาจมีประสิทธิภาพดีกว่าการเสริมวันละ 1,000 มก. ในการลดความรุนแรงและระยะเวลาการเป็นหวัด แต่เมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยแล้ว ขนาดมาตรฐานที่แนะนำสำหรับหวัดคือวันละ 1,000 มก.
การทบทวนการศึกษาจำนวน 44 ชิ้น พบว่าการเสริมวิตามินซีก่อนเป็นหวัด (โดยปกติคือวันละ 1,000 มก.) สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการหวัดได้เล็กน้อยประมาณ 5% และช่วยให้หายจากอาการหวัดได้เร็วขึ้นประมาณ 8% ในผู้ใหญ่และ 14% ในผู้หญิง เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก ส่วนการเสริมวิตามินซีหลังจากที่เป็นหวัดไปแล้วพบว่าไม่มีประโยชน์ คือ ไม่ได้ช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัดเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาที่พบว่าการเสริมวิตามินซีในขนาดสูงวันละ 6,000-8,000 มก. ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเป็นหวัด สามารถช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาที่เป็นหวัดได้ แต่การเสริมวิตามินซีในขนาด 3,000-4,000 มก. พบว่าไม่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วย
จากการวิเคราะห์การทดลองทางคลินิก 9 ฉบับ (ระหว่างปี 1950-2001) สรุปได้ว่า การเสริมวิตามินซีเป็นประจำวันละ 1,000 มก. หรือน้อยกว่า หรือการเสริมวิตามินซีในขนาดที่สูงขึ้นเป็นวันละ 3,000-4,000 มก. ในช่วงที่เป็นหวัด อาจช่วยลดระยะเวลาที่เป็นหวัดลงได้เล็กน้อย (ประมาณครึ่งวัน) และลดอาการหนาวสั่นและเจ็บหน้าอกได้เล็กน้อย แต่ไม่ได้ช่วยให้อาการคัดจมูกหรืออาการเจ็บคอดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
การศึกษาทั่วไปพบว่า การเสริมวิตามินซีก่อนเป็นหวัดไม่สามารถช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเป็นหวัดได้ ยกเว้นในกลุ่มที่มีภาวะความเครียดทางกายภาพ เช่น ผู้ที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก เช่น นักกีฬามาราธอน นักสกี หรือทหาร จะสามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นหวัดได้ถึง 52% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (หากรับประทานวิตามินซีก่อนเป็นหวัดหลายวัน)
การศึกษาเล็ก ๆ ในผู้ชายที่มีสุขภาพดีและไม่สูบบุหรี่ (อายุ 18-35 ปี) ที่มีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำถึงปานกลาง (น้อยกว่า 45 µmol/L) พบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. วันละ 2 ครั้งเช้าและเย็น ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน จะมีโอกาสเป็นหวัด “ในช่วงฤดูหนาว” น้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (7 ต่อ 11 คน) และช่วยลดระยะเวลาการป่วยเป็นหวัดลง 59% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
8. ลดอาการภูมิแพ้ วิตามินซีสามารถช่วยลดระดับการผลิตฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นตัวการของอาการที่ไม่พึงประสงค์ของโรคภูมิแพ้ได้ โดยมีการศึกษาที่พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 2,000 มก. เป็นเวลา 1 เดือนขึ้นไป สามารถช่วยลดระดับฮีสตามีนได้ประมาณ 38% และมีผลช่วยให้ลดการกำเริบและอาการของภูมิแพ้ดีขึ้น สอดคล้องกับอีกการศึกษาที่ให้วิตามินซีสูงในขนาด 7,500 มก. ทางเส้นเลือด แล้วพบว่าระดับฮีสตามีนลดลงประมาณ 50% และยังสัมพันธ์กับอาการภูมิแพ้ที่ลดลงอีกด้วย เช่น น้ำมูกไหล ตาม คัน กระสับกระส่าย ปัญหาเรื่องการนอนหลับ
9. อาการเมาเรือ วิตามินซีอาจมีประสิทธิภาพในการแก้อาการเมาเรือ (โดยเฉพาะในผูหญิงและผู้ชายที่อายุน้อยกว่า 27 ปี) โดยไม่มีผลข้างเคียง เพราะระดับฮีสตามีนที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเมาเรือ
10. โควิด 19 (COVID-19) เนื่องจากวิตามินซีมีบทบาทช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง อาหารเสริมวิตามินซีจึงได้รับการส่งเสริมโดยแพทย์บางท่านเพื่อใช้ป้องกัน COVID-19 จากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการได้รับวิตามินซีเกินความต้องการในแต่ละวันจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 หรือช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคเมื่อป่วยได้
การศึกษาในผู้ใหญ่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 214 คน พบว่าการรับประทานวิตามินซีวันละ 8,000 มก. (แบ่งทานวันละ 2-3 มื้อหลังอาหาร) ไม่ได้ช่วยลดระยะเวลาของอาการโควิดได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการรักษามาตรฐานตามปกติ และผู้ที่ได้รับวิตามินซียังมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการคลื่นไส้ ท้องร่วง และปวดท้องมากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการรับประทานวิตามินซีในขนาดสูง และยังไม่พบประโยชน์เมื่อทำการเสริมวิตามินซีร่วมกับสังกะสีหรือซิงค์ (Zinc) ในขนาดสูงวันละ 50 มก. หรือเสริมซิงค์เพียงอย่างเดียวก็ตาม
สอดคล้องกับการศึกษาในกลุ่มชายและหญิงจำนวน 98 คน (อายุ 40 ปีขึ้นไป) ที่ป่วยเป็น COVID-19 และมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ซึ่งเมื่อให้รับประทานวิตามินซี 1,000 มก. ทุกวันเป็นเวลา 14 วันหลังมีอาการได้ 6 เดือน ก็ไม่พบว่าวิตามินซีจะช่วยลดระยะเวลาที่ป่วยหรือความรุนแรงของโรคแต่อย่างใดเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
การเสริมวิตามินซีวันละ 1,000-6,000 มก. ก่อนติด COVID-19 ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์เล็กน้อยกับผู้ป่วยที่ติดโควิดที่มีอาการวิกฤตและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (ช่วยลดระยะเวลาในการช่วยหายใจโดยเฉลี่ย 25%) ส่วนอีกการศึกษาในประเทศจีน (อายุเฉลี่ย 66 ปี) พบว่าการเสริมวิตามินซีในขนาดที่สูงมาก ๆ คือวันละ 24,000 มก. (ทางเส้นเลือด) เป็นเวลา 7 วัน ทำให้ออกซิเจนในเลือดดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้ช่วยลดวันที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือการตายในช่วง 28 วันหลังเข้ารับการรักษาเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
การศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยหนักจากโรค COVID-19 และมีอาการช็อก จำนวน 15 คน (อายุเฉลี่ย 72 ปี) พบว่าอัตราการเสียชีวิตก็ยังสูงมากถึง 80% แม้จะให้วิตามินซีวันละ 3,000 มก. เป็นเวลา 2-5 วัน พร้อมกับการรักษาด้วยยามาตรฐานก็ตาม
11. ลดความดันโลหิต จากการทบทวนการศึกษาจำนวน 29 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วิตามินซีวันละ 500 หรือ 1,000 มก. พบว่าความดันโลหิตตัวบน (SBP) ลดลงเฉลี่ย 3.84 mmHg และความดันโลหิตตัวล่าง (DBP) ลดลงเฉลี่ย 1.48 mmHg [33] สอดคล้องกับอีกการศึกษาในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่พบว่า ความดันตัวบนลดลงมากกว่า 4.85 mmHg และตัวล่าง 1.67 mmHg (การศึกษานี้ ไม่พบว่าวิตามินซีมีผลโดยตรงในการป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease) ซึ่งอาจเป็นเพราะการทดลองมีระยะสั้นเกินไป) อย่างไรก็ตาม การลดความดันโลหิตด้วยการเสริมวิตามินซีนั้นช่วยได้เล็กน้อยเมื่อเทียบกับการใช้ยามาตรฐานที่จะลดความดันโลหิตได้ประมาณ 10 mmHg
การศึกษาของ Mullan BA และคณะ พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. เป็นเวลา 1 เดือน สามารถช่วยลดความดันโลหิตและความแข็งตัวของหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานได้
12. ลดระดับน้ำตาลในเลือด การศึกษาในปี 2018 ในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน โดยทั้ง 27 คนเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบว่าการเสริมวิตามินซี 500 มก. วันละ 2 ครั้ง (1,000 มก./วัน) เป็นเวลา 4 เดือน นอกจากจะช่วยลดความดันโลหิตเมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกแล้ว (ความดันตัวบน (SBP) ลดลงเฉลี่ย 7 mmHg และความดันตัวล่าง (DBP) ลดลงเฉลี่ย 5 mmHg)) ยังช่วยลดปริมาณน้ำตาลกลูโคสหลังรับประทานอาหารได้ถึง 36% และมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงน้อยลงไป 2.8 ชั่วโมงในแต่ละวัน (แต่ไม่มีผลต่อค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c)
การศึกษาในปี 2017 พบว่าในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีระดับวิตามินซีในเลือดน้อยกว่าผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติอย่างมีนัยสำคัญ และมีความต้องการวิตามินซีที่มากกว่าตยปกติ และการศึกษายังพบด้วยว่า ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ผู้ที่สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ที่เสี่ยงเป็นเบาหวาน ก็พบระดับวิตามินซีในเลือดต่ำเช่นกัน และร่างกายจำเป็นต้องได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้น
การศึกษาที่เก่ากว่าในปี 2007 พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 1,000 มก. ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS), ค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c), ไตรกลีเซอร์ไรด์ (TG), คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และระดับฮอร์โมนอินซูลินลดลงอย่างนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกอย่าง อย่างไรก็ตาม การให้วิตามินซีวันละ 500 มก. ไม่พบการเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ
13. โรคหัวใจและหลอดเลือด ด้วยวิตามินซีมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ, มีฤทธิ์ลดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันชนิด LDL และมีฤทธิ์ป้องกันการถูกทำลายจากเซลล์บุหลอดเลือดด้านใน จึงเชื่อว่าการเสริมวิตามินซีอาจเป็นประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยมีการศึกษาที่พบว่าการได้รับวิตามินซีจากอาหารน้อยมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาผลของการใช้วิตามินซีในรูปของอาหารเสริมยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากการศึกษาในปัจจุบันให้ผลขัดแย้งกัน แต่เชื่อว่าการเสริมวิตามินซีน่าจะมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงนี้ในผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินซี
การเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. สามารถช่วยลดภาวะหลอดเลือดกลับมาตีบซ้ำอีกหลังจากการขยายหลอดเลือดด้วยวิธี Angioplasty
14. โรคไขมันพอกตับ (Non-alcoholic fatty liver disease : NAFLD) การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง (มากกว่าวันละ 146 มก.) สัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคไขมันพอกตับ (NAFLD) ที่ลดลง 29% เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับวิตามินซีต่ำ (น้อยกว่าวันละ 75 มก.) [39] การศึกษาในประเทศจีนในคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไขมันพอกตับ (NAFLD) จำนวน 84 คน ซึ่งไม่มีใครขาดวิตามินซี พบว่าการรับประทานวิตามินซีวันละ 200, 1,000 หรือ 2,000 มก. ก่อนอาหารเป็นเวลา 12 สัปดาห์ บ่งชี้ว่าการทำงานของตับดีขึ้น (AST, ALT และ/หรือ GGT) โดยกลุ่มที่ให้ในขนาด 1,000 มก. พบว่าได้ประโยชน์สูงสุด
15. ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ การศึกษาในระยะยาว (ประมาณ 14 ปี) พบว่าความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจะต่ำเมื่อมีระดับวิตามินซีในเลือดมากกว่า 15.33 µmol/L และความเสี่ยงจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึง 45.99-59.62 µmol/L โดยที่ระดับวิตามินซีในเลือดที่มากกว่านี้จะไม่ลดความเสี่ยงลงอีก ส่วนความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดก็พบว่ามีลักษณะคล้ายกัน แต่กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งจะยังลดลงได้อย่างต่อเนื่องแม้จะมีระดับวิตามินซีในเลือดที่สูงขึ้นหรือสูงกว่า 60.19 µmol/L อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาที่แยกออกมาที่พบว่าระดับวิตามินซีในเลือดที่สูงกว่า 60 µmol/L มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นแทน (แทนที่จะลดลง) เมื่อเทียบกับระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำกว่า
ผู้สูงอายุที่รับประทานวิตามินซีและวิตามินอีเสริมมีอัตราการตายจากโรคก่อนเวลาอันควรน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้เสริม สอดคล้องกับการศึกษาในแคลิฟอร์เนียที่พบว่า ผู้ที่เสริมวิตามินซีมากกว่าวันละ 750 มก. มีอัตราการตายจากโรคก่อนเวลาอันควรลดลง 60%
การเสริมวิตามินซีวันละมากกว่า 700 มก. ช่วยลดความเสี่ยงจากการตายด้วยโรคหัวใจ 62% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับวิตามินซีวันละ 60 มก. หรือน้อยกว่า
16. ลดความเสี่ยงมะเร็ง มีทฤษฎีว่าวิตามินซีอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้จากการศึกษาเมื่อนานมาแล้วที่พบว่าการรับประทานผักและผลไม้ที่ให้ปริมาณวิตามินซีขนาด 200 มก./วัน มีความสัมพันธ์กับการลดลงของอุบัติการณ์เกิดโรคมะเร็งช่องปาก มะเร็งปอด มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ และมะเร็งกระเพาะอาหาร (พบประโยชน์ชัดเจนที่สุดในการป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร) แต่ยังไม่ชัดเจนว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากวิตามินซีหรือสารอื่น ๆ ที่มีในผักและผลไม้ ส่วนการศึกษาใหม่ ๆ เราพบว่าการใช้วิตามินซีในรูปอาหารเสริมแบบเดี่ยว ๆ ไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ (แต่ในรูปของอาหารปกติอาจช่วยได้) เช่น การศึกษาในผู้ชายที่มีสุขภาพดีที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. และวิตามินอี 400 IU (วันเว้นวัน) ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมะเร็งทั้งหมด
สอดคล้องกับการศึกษาในประเทศแคนาดาในผู้ชายสูงอายุที่ไม่พบความเกี่ยวข้องใด ๆ ระหว่างการเสริมวิตามินซีทั้งจากอาหารปกติและอาหารเสริมกับอุบัติการณ์เกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและระดับความรุนแรงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมมีผลช่วยลดความเสี่ยงต่อการโรคมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม ปากมดลูก ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตรง หลอดอาหาร ช่องปาก กล่องเสียง ปอด ต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระเพาะอาหาร
มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal cancer) การเสริมวิตามินซีวันละ 3,000 มก. ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่ และพบว่าการบริโภควิตามินซีมากกว่าวันละ 157 มก. ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 50%
มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder cancer) การเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. นาน 10 ปีหรือมากกว่าในผู้ชายและหญิงวัยกลางคน พบว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้
การเสริมวิตามินซีวันละมากกว่า 10,000 มก. ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ได้รับวิตามินซีมีชีวิตอยู่นานกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับวิตามินซี เกิดความเจ็บปวดน้อยกว่า และโดยรวมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (เมื่อเสริมวิตามินอื่น ๆ เข้าไปด้วยในปริมาณมาก คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินอี ไนอะซิน วิตามินบีอื่น ๆ และแร่ธาตุบางอย่าง ก็พบว่ากลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการเสริมวิตามินและแร่ธาตุดังกล่าว มีชีวิตอยู่ได้นานกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เสริม)
เชื่อว่าการแพร่กระจายตัวของมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ด้วยการเสริมวิตามินซีที่มากขึ้น
17. ต้อกระจกและจอตาเสื่อม ในระยะยาว 10 ปีขึ้นไป ดูเหมือนว่าการได้รับวิตามินซีในขนาดต่ำ คือ 60-250 มก. อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกได้ ในขณะที่วิตามินซีขนาดสูงไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยง แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกแทน นอกจากนี้ วิตามินซีในขนาด 250 มก. ยังเป็นส่วนหนึ่งของสูตร ARED2 ด้วย ซึ่งเป็นสูตรของวิตามินที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยชะลอการลุกลามของโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (Age-related macular degeneration : AMD) ส่วนการศึกษาที่เกี่ยวข้องมีดังนี้
การเสริมวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการลุกลามของโรคต้อกระจกได้ โดยมีการศึกษาในประเทศอังกฤษที่พบว่า เมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภควิตามินซีจากอาหารต่ำที่สุด ในผู้ที่บริโภควิตามินซีจากอาหารมากที่สุดจะมีโอกาสเกิดโรคต้อกระจกน้อยลง 19% และโอกาสเกิดต้อกระจกจะน้อยลง 33% ในอีก 10 ปีข้างหน้า ส่วนผู้ที่รับประทานวิตามินซีในรูปของอาหารเสริมรวมถึงวิตามินรวม ก็มีโอกาสน้อยลงเช่นกันที่จะเป็นโรคต้อกระจก
การศึกษาในประเทศแคนาดาในผู้ชายที่มีสุขภาพดี พบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 500 มก. และวิตามินอี 400IU (วันเว้นวัน) ในระยะยาว ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรคต้อกระจกได้
การศึกษาในระยะยาวอื่น ๆ มากกว่า 10 ปี แนะนำว่าการเสริมวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมคือ 150-250 มก. อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกได้ และการบริโภค
การศึกษาในระยะยาวพบว่า การเสริมวิตามินรวมในขนาดที่เหมาะสม (มีวิตามินซีรวมอยู่ด้วย 60 มก.) สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกได้ (แต่ไม่มีผลต่อโรคจอตาเสื่อม (AMD)) ในขณะที่สูตรที่มีวิตามินซีสูง (500 มก.) พบว่าไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจก
18. ภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัด (Shingles) ระดับวิตามินซีในเลือดที่ต่ำ (ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 45 µmol/L) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยของโรคงูสวัดที่เรียกว่า อาการปวดปลายประสาทหลังเป็นโรคงูสวัด (Postherpetic neuralgia) ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดมากในบริเวณที่เป็นผื่น แม้ว่าผื่นจากโรคจะหายไปแล้วก็ตาม แต่การศึกษาพบว่า การฉีดวิตามินซีเข้าเส้นเลือดในขนาดวันละ 2.5-15 กรัม (2,500-15,000 มก.) เป็นเวลา 3-14 วัน ร่วมกับการรักษามาตรฐานตามปกติ จะช่วยลดอาการปวดและความรุนแรงจากอาการแทรกซ้อนที่พบบ่อยดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาว่าการใช้วิตามินซีในรูปแบบรับประทานจะได้ประโยชน์เหมือนวิตามินซีแบบฉีดหรือไม่
19. รักษาแผลที่เท้า ดับวิตามินซีต่ำหรือได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ โดยการศึกษานี้ได้ทำการศึกษาในผู้สูงอายุจำนวน 16 คน (อายุเฉลี่ย 60 ปี) ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 โรคหลอดเลือด หรือโรคอื่น ๆ ที่เป็นแผลที่เท้าการทดลองทางคลินิกขนาดเล็กพบว่า การเสริมวิตามินซีอาจช่วยรักษาแผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้นได้ (รวมถึงโรคหลอดเลือด และสภาวะอื่น ๆ ที่เอื้อต่อการเกิดแผลที่เท้า) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยมีระ โดยกลุ่มแรกให้ทานวิตามินซีแบบออกฤทธิ์ช้าวันละ 500 มก. เป็นเวลา 2 เดือน ส่วนอีกกลุ่มจะได้รับยาหลอก (ผู้ป่วยครึ่งหนึ่งของแต่ละกลุ่มมีระดับวิตามินซีในเลือดต่ำ) พบว่ากลุ่มที่ได้รับวิตามินซีแผลที่เท้ามีอาการดีขึ้นทุกคน ในขณะกลุ่มที่ได้รับยาหลอกมีอาการดีขึ้น แต่ไม่ทุกคน (มีจำนวน 44% ที่อาการไม่ดีขึ้น)
20. ป้องกันแผลกดทับ การเสริมวิตามินซีวันละ 1,000 มก. พบว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยผ่าตัดได้อย่างมีนัยสำคัญ
22. ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเกาต์ โดยมีงานวิจัยพบว่า กลุ่มที่ได้รับวิตามินซีจากอาหารเสริมในขนาดวันละ 1,000-1,499 มก. จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับวิตามินซีประมาณ 34% และหากรับประทานวันละมากกว่า 1,500 มก. จะลดความเสี่ยงได้มากขึ้นเป็น 45% [60] โดยสอดคล้องกับอีกงานวิจัยที่พบว่า การได้รับวิตามินซีเสริมสามารถช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคเกาต์ได้ โดยเมื่อทดลองให้วิตามินซีในหลายขนาดตั้งแต่ น้อยกว่า 90 มก., 90-249, 250-499, 500-999 และ 1000 มก. ขึ้นไป แล้วพบว่าระดับความเข้มข้นของกรดยูริกในเลือดมีค่าเท่ากับ 6.4, 6.1, 6.0, 5.7 และ 5.7 mg/dL ตามลำดับ (การเสริมวิตามินซีวันละ 400-500 มก. ดูเหมือนจะช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือดได้ดี และจะไม่ลดลงอีกเมื่อให้วิตามินซีที่สูงขึ้น)
22. อาจดีต่ออารมณ์และอาการซึมเศร้า อีกบทบาทของวิตามินซีที่คนไม่ค่อยรู้ก็คือ วิตามินซีมีบทบาทช่วยในการผลิตและการทำงานของสารสื่อประสาทบางชนิด ซึ่งรวมถึงนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ที่การลดลงของสารนี้เเชื่อมโยงกับการเกิดโรคซึมเศร้า แม้การศึกษาส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นว่าการเสริมวิตามินซีไม่ได้ช่วยในเรื่องนี้ แต่ก็มีบางงานวิจัยที่พบว่าการเสริมวิตามินซีอาจช่วยให้อารมณ์หรือสุขภาพจิตดีขึ้นรวมถึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะในผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินซี โดยมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้
การศึกษาแบบสังเกตในประเทศจีนในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจำนวน 25,895 คน (อายุเฉลี่ย 49 ปี) ที่ประมาณ 2,300 คน (ประมาณ 9%) มีภาวะซึมเศร้า พบว่าการบริโภควิตามินซีในขนาดที่สูงขึ้น (มากกว่า 92.95 มก. หรือสูงกว่าปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน (RDA) เล็กน้อย สำหรับผู้ชาย (90 มก.) และผู้หญิง (75 มก.)) ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าจะลดลง 27% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่บริโภควิตามินซีต่ำ (น้อยกว่าวันละ 430 มก.) แต่การให้ในขนาดที่สูงถึงวันละ 126 มก. ไม่พบประโยชน์เพิ่มเติม
การศึกษาในผู้ใหญ่ในนิวซีแลนด์จำนวน 128 คน ซึ่งร่างกายได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ พบว่าการรับประทานวิตามินซีวันละ 250 มก. เมื่อเทียบกับยาหลอก เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ไม่ได้ช่วยปรับปรุงเรื่องอารมณ์ซึมเศร้า ความโกรธ หรือความวิตกกังวล แต่พบว่ามี Vitality ดีขึ้นเล็กน้อย เช่น ความเหนื่อยล้าลดลง รู้สึกมีความสุขมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับอีกการศึกษาในปี 2020 ที่ให้วิตามินซีในผู้ใหญ่วันละ 250 มก. แล้วพบว่ามี Vitality ดีขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
การศึกษาในผู้ที่ขาดวิตามินซีจำนวน 46 คน พบว่าการให้วิตามินซี 500 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับยาหลอกแล้วพบว่าไม่ได้ช่วยเรื่องอารมณ์ซึมเศร้า ความเครียด วิตกกังวล และความเหนื่อยล้า แต่ช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน เพิ่มสมาธิ และมีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพในงานที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจและต้องการสมาธิได้เล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบว่า การขาดวิตามินซีเกี่ยวข้องกับ Vitality ในระดับที่ต่ำ
23. ใช้เสริมในผู้ที่สูบบุหรี่ เพราะในผู้ที่สูบบุหรี่ร่างกายจะมีการใช้วิตามินซีมากกว่าคนปกติ อีกทั้งในเด็กที่ผู้ปกครองสูบบุหรี่ด้วยก็พบว่าอาจมีปริมาณวิตามินซีในร่างกายที่ลดลงได้ถึง 50% ดังนั้น ผู้สูบบุหรี่หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีคนสูบบุหรี่ควรเสริมวิตามินซีจากอาหารปกติให้มากขึ้น
24. เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก วิตามินซีช่วยเพิ่มดูดซึมของธาตุเหล็กจากอาหารได้ดีขึ้น ซึ่งอาจมีประโยชน์ต่อผู้ที่มีอาการผมร่วงที่มีสาเหตุมาจากการขาดธาตุเหล็ก รวมถึงอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก
25. รักษาประสิทธิภาพยากลุ่มไนเตรท (Nitrates) จากข้อมูลพบว่าวิตามินซีอาจช่วยรักษาประสิทธิภาพของยาในกลุ่มไนเตรท เช่น ไนโตรกลีเซอริน (Nitroglycerin) ที่ใช้รักษาอาการเจ็บหน้าอกและโรคหลอดเลือดหัวใจ
26. ลดพิษจากสารเสพติดแอมเฟตามีน (Amphetamine) โดยพบว่าการเสริมวิตามินซีวันละ 2,000 มก. จะช่วยลด pH และเพิ่มความเป็นกรดให้แก่ปัสสาวะ จึงมีผลเพิ่มการขับออกแอมเฟตามีนในปัสสาวะได้ (แอมเฟตามีนมีคุณสมบัติเป็นเบสอ่อน) ในทางปฏิบัติจึงมีการนำวิตามินซีมาใช้ในผู้ป่วยที่เกิดพิษจากแอมเฟตามีน เช่น เกิดอาการโรคจิต
27. ลดการดูดซึมนิกเกิล (Nickel) งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าวิตามินซีสามารถช่วยลดการดูดซึมนิกเกิลซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายได้
คำแนะนำในการรับประทานวิตามินซี
1. เลือกทานวิตามินซีจากอาหารหรือวิตามินซีแบบสังเคราะห์ ? ทั้งคู่ต่างให้กรดแอสคอร์บิกเหมือนกัน แต่วิตามินซีจากอาหารธรรมชาติจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายที่มากกว่า (นอกเหนือจากวิตามินซี) และไม่มีผลเสียหรือผลข้างเคียงเหมือนวิตามินซีแบบสังเคราะห์ แต่ถ้าไม่สะดวก การทานแบบสังเคราะห์ยังเป็นทางเลือกที่ดีและอาจสลับไปทานจากอาหารธรรมชาติบ้างก็ได้ ส่วนผลิตภัณฑ์วิตามินซีจากธรรมชาติ เช่น โรสฮิป อะเซโรลา คามูคามู ฯลฯ นั้นไม่ได้ดีไปกว่าวิตามินซีแบบสังเคราะห์ธรรมดา ถ้าคุณแค่ต้องการวิตามินซี
2. ต้องทานวิตามินซีเสริมหรือไม่ ? ถ้าเราทานผักผลไม้ได้วันละ 5 หน่วยบริโภคก็ไม่จำเป็นต้องทานวิตามินซีเสริม (หนึ่งหน่วยบริโภคเท่ากับผักหรือผลไม้ ½ -1 ถ้วย ซึ่ง 5 หน่วยบริโภคจะได้มีวิตามินซีประมาณ 200-250 มก. ซึ่งมีเด็กและผู้ใหญ่ในอเมริกาเพียง 15% ของประชากรทั้งหมดที่รับประทานอาหารได้ในขนาดนี้) แต่คนส่วนใหญ่มักได้รับวิตามินซีจากอาหารที่บริโภคต่อวันไม่เพียงพอ จึงอาจทานวิตามินซีเสริมได้ถ้าต้องการ
3. ขนาดวิตามินซีที่แนะนำต่อวัน โดยปกติจะแตกต่างกันไปตามอายุ สภาวะหรืออาการ รวมถึงความต้องการหรือข้อบ่งใช้เฉพาะของแต่ละบุคคล โดยมีขนาดที่แนะนำดังนี้
60 มก. เป็นขนาดขั้นต่ำที่ต้องได้รับต่อวันในผู้ใหญ่
75-120 มก. เป็นขนาดที่ควรได้รับต่อวัน (RDA) สำหรับผู้ใหญ่เพศชาย คือ 90 มก./วัน, ผู้ใหญ่เพศหญิง 75 มก./วัน, ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อายุน้อยกว่า 18 ปี 80 มก./วัน, ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อายุมากกว่า 18 ปี 85 มก./วัน, ผู้หญิงให้นมบุตร 120 มก./วัน และในผู้ที่สูบบุหรี่แนะนำให้เพิ่มปริมาณวิตามินซีอีก 35 มก./วัน (ส่วนในเด็กคือ 15 มก./วัน ในเด็กอายุ 1-3 ปี, 25 มก./วัน ในเด็กอายุ 4-8 ปี, 45 มก./วัน ในเด็กอายุ 9-13 ปี, 75 มก./วัน ในผู้ชายอายุ 14-18 ปี และขนาด 65 มก./วัน ในผู้หญิงอายุ 14-18 ปี)
100-250 มก. เป็นขนาดที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำ เพียงพอต่อสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะถ้าได้จากอาหารปกติในปริมาณ 5 หน่วยบริโภค เพราะให้ประโยชน์สูงสุดโดยไม่เกิดผลเสียหรือความเสี่ยงต่าง ๆ ใด
500 มก. เป็นขนาดที่แนะนำมากที่สุดในรูปอาหารเสริม เพราะคุ้มค่าที่สุดและร่างกายยังดูดซึมวิตามินซีเอาไปใช้ได้ดี เป็นขนาดที่ใช้ในงานวิจัยส่วนใหญ่ ถ้าทานเป็นประจำก็สามารถทำให้ระดับวิตามินซีถึงจุดอิ่มตัวได้ และยังถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างปลอดภัยอยู่ (ถ้าทานวันละ 1 เม็ด) แม้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกก็ตาม
1,000 มก. คือขนาดสูงสุดต่อวันที่ยังยอมรับได้ แต่จะเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต (แนะนำให้ทานขนาด 500 มก. หลังอาหารเช้าและเย็นวันละ 2 ครั้ง แทนการเลือกทานแบบ 1,000 มก. เพียงครั้งเดียว เพราะร่างกายจะได้ประโยชน์มากกว่า)
1,500-2,000 มก. ขึ้นไป คือขนาดที่ใช้สำหรับโรคเกาต์ ลดอาการภูมิแพ้ และลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัด (ส่วนการใช้เพื่อประโยชน์อื่น ๆ นั้นไม่แนะนำ เพราะประโยชน์ที่ได้อาจไม่คุ้มกับความเสี่ยงต่าง ๆ และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น) โดยถ้าต้องทานมากกว่าวันละ 2,000 มก. แนะนำให้เลือกทานวิตามินซี 1,000 มก. วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็น
4. วิตามินซีทานสูงสุดได้วันละเท่าไหร่ ? สำหรับขนาดสูงสุดต่อวันที่ยอมรับได้และน่าจะปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป คือ
ในผู้ใหญ่ คือ 2,000 มก./วัน
ในวัยรุ่นอายุ 14-18 ปี คือ 1,800 มก./วัน
ในเด็กอายุ 9-13 ปี คือ 1,200 มก./วัน
ในเด็กอายุ 4-8 ปี คือ 650 มก./วัน
ในเด็กอายุ 1-3 ปี คือ 400 มก./วัน
อย่างไรก็ตาม ปริมาณดังกล่าวยังขึ้นอยู่กับการบริโภควิตามินซีทั้งหมดจากอาหารปกติด้วย และบุคคลทั่วไปไม่ควรรับประทานเกินขนาดที่แนะนำเหล่านี้ เว้นแต่จะอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์
5. วิตามินซีทานเวลาไหนดี ? การทานวิตามินซี “หลังอาหารเช้า” ร่างกายจะได้ประโยชน์สูงสุด ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
ในระหว่างวันร่างกายของเราจะมีการทำกิจกรรมหรือทำงานอยู่ตลอดเวลาที่จะมีการสร้างอนุมูลอิสระมากขึ้นเป็นปกติ การทานวิตามินซีในตอนเช้าจึงเกิดประโยชน์มากกว่าเวลาอื่น ๆ เพราะวิตามินซีมีจะออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้อย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการต้านอนุมูลอิสระร่วมกับวิตามินอี, โคเอนไซม์คิว10, กรดแอลฟาไลโปอิก, กลูต้าไธโอน ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
ในระหว่างวันเราจะดื่มน้ำเรื่อย ๆ ทำให้ร่างกายขับออกทางปัสสาวะภายใน 4-6 ไม่ชั่วโมง และไม่มีการตกค้างในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งต่างจากการทานในช่วงก่อนนอนที่เรามักไม่ได้ลุกไปปัสสาวะ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงขึ้นเล็กน้อยที่จะก่อให้เกิดการตกผลึกเป็นนิ่วได้
ไม่แนะนำให้ทานก่อนอาหารหรือทานในขณะที่ท้องว่าง (ควรทานหลังอาหารหรืออย่างมากก็พร้อมอาหาร) เพราะโดยธรรมชาติแล้ววิตามินซีจะมีความเป็นกรดอ่อน ๆ การทานหลังอาหารจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการข้างเคียงหรือทำให้เกิดอาการแสบท้องได้ แต่ถ้าคุณทานวิตามินซีในขนาดที่ไม่สูงมากและเป็นวิตามินซีในรูปเกลือที่ช่วยลดความเป็นกรดจะทานตอนไหนก็ได้ (แต่หลังอาหารก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด)
6. ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ หลังทานวิตามินซีควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว โดยเฉพาะวิตามินซีในรูป “Ascorbic acid” เพียว ๆ แบบไม่มีอะไรผสม ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเพิ่มการขับวิตามินซีที่เกินความต้องการออกจากร่างกายและลดการเกิดนิ่ว
7. วิตามินซีแบ่งใส่กระปุกทานได้หรือไม่ ? ในคนที่ทานวิตามินซีมากกว่า 1 มื้อ หรือทานอาหารเสริม/ยาอื่น ๆ หลายชนิด มักจะมีการแบ่งวิตามินหรือยาเหล่านั้นใส่ตลับหรือกระปุกใส ๆ หรือใส่ซองรวมกัน แต่สำหรับวิตามินซีจะไม่แนะนำครับ เพราะอาจจะทำให้วิตามินซีเสื่อมคุณภาพจากอากาศและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงระหว่างวันได้
8. การเก็บวิตามินซี หลังเปิดทานวิตามินซีแล้วควรปิดให้สนิททุกครั้ง เก็บให้ห่างจากแสงต่าง ๆ หรือเก็บในตู้ยา เพราะแสงและอากาศเป็นตัวการทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น โดยเปลี่ยนวิตามินซีที่ลดลงบางส่วนไปเป็นกรดดีไฮโดรแอสคอร์บิก จึงอาจทำให้วิตามินซีออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิม
9. ทานวิตามินซีต่อเนื่องได้หรือไม่ ? อาจขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทาน โดยการเสริมวิตามินซีในขนาด 250 มก. หรือน้อยกว่า ไม่พบว่าทำให้เกิดอันตรายใดต่อ ๆ ร่างกาย แต่ในขนาดที่สูงขึ้นกว่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกได้ ส่วนในขนาดวันละ 1,000 มก. หรือมากกว่า พบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในไต (เฉพาะในผู้ชาย), โรคไตจากผลึกออกซาเลต, ขัดขวางการฝึกความอดทนและการเพิ่มของมวลกล้ามเนื้อและกระดูกจากการออกกำลังกาย, อาจทำให้ DNA เสียหาย, อาจลดประสิทธิภาพยาต้านไวรัส HIV ฯลฯ อย่างไรก็ตาม บางการศึกษาก็พบว่าการทานในขนาดวันละ 1,000 มก. ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี ไม่พบว่าทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด ตรงนี้ก็แล้วแต่จะพิจารณากันครับ
10. จุดอิ่มตัวและการดูดซึมของวิตามินซี วิตามินซีที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกดูดซึมที่ทางเดินอาหารบริเวณกระพุ้งแก้มและบริเวณลำไส้เล็กส่วนกลางที่มีการดูดซึมวิตามินซีได้มากที่สุด โดยการดูดซึมวิตามินซีจะขึ้นอยู่กับขนาดที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละครั้ง แต่การดูดซึมนี้ก็จะมีจุดอิ่มตัวในการดูดซึมด้วย กล่าวคือถ้าเสริมวิตามินซีในขนาดที่มากเกินจุดอิ่มตัวนี้ ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีเอาไปใช้ได้เพิ่มขึ้น และยิ่งทานครั้งละมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างกายก็จะยิ่งดูดซึมได้น้อยลงเท่านั้น ดังนี้
เมื่อทานครั้งละ 15 มก. ร่างกายดูดซึมวิตามินซีเอาไปใช้ได้ 89%
100 มก. ร่างกายดูดซึมวิตามินซี 80%
200 มก. ร่างกายดูดซึมวิตามินซี 72% 500 มก. ร่างกายดูดซึมวิตามินซี 63%
1,000 มก. ร่างกายดูดซึมวิตามินซี ~50%
1,250 มก. ร่างกายดูดซึมวิตามินซี 46%
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการดูดซึมวิตามินซียังขึ้นอยู่กับรูปแบบและสูตรของผลิตภัณฑ์วิตามินซีด้วย ซึ่งบางรูปบางสูตรอาจมีการดูดซึมได้ดีกว่า (แต่ส่วนใหญ่จะไม่ต่างกัน หรือต่างกันแต่ก็ไม่มาก)
อ้างอิง: เว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย
ข้อมูลในระบบนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ ประกอบการเรียนการสอน | copyright © thai-herbs.thdata.co