Select your language TH EN
อื่นๆ ความรู้ทั่วไป  thai-herbs.thdata.co thdata.co

อ่านบทความอัตโนมัติ



วิตามินเอ (Vitamin A, Retinol)


วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งต้องใช้ไขมันและแร่ธาตุมาช่วยในการดูดซีมเข้าสู่ร่างกาย โดยร่างกายคนเราสามารถเก็บสะสมวิตามินเอได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารเสริมทดแทนทุกวันแต่อย่างใด 


วิตามินเอแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ วิตามินเอแบบสำเร็จที่เรียกว่า เรตินอล Retinol (พบในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น) และโปรวิตามินเอหรือแคโรทีน (พบทั้งพืชและสัตว์) ซึ่งวิตามินเอนั้นมีหน่วยวัดเป็น IU, USP และ RE โดยที่นิยมใช้กันมากก็คือหน่วย IU 


แหล่งอาหาร 


วิตามินเอ-VitaminA-Retinol thai-herbs.thdata.co | วิตามินเอ-VitaminA-Retinol สรรพคุณ สมุนไพร ไทย


พบได้โดยทั่วไป เช่น น้ำมันตับปลา ตับ แคร์รอต ผักสีเหลืองและเขียวเข้ม ผักตำลึง ยอดชะอม คะน้า ยอดกระถิน ผักโขม ฟักทอง มะม่วงสุก บรอกโคลี แคนตาลูป แตงกวา ผักกาดขาว มะละกอสุก ไข่ นม มาร์การีน ผลไม้สีเหลือง เป็นต้น 


โทษของวิตามินเอ 

การขาดวิตามินเอ

  • โรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามินเอทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้

  • ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอคือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้

  • ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอจึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย


การได้รับวิตามินเอเกินขนาด

  • แท้งลูกหรือพิการ หญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์คลอดออกมาพิการหรือแท้งได้ เนื่องจากวิตามินเอมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป หรือมีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู

  • อ่อนเพลีย หากร่างกายได้รับวิตามินเอเกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะมีผลทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและอาเจียนได้

  • เจ็บกระดูกและข้อต่อ เบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งหมดนี้เป็นโทษในระยะยาวที่เกิดจากการรับประทานวิตามินเอมากเกินไป

  • ในสัตว์กระเพาะเดี่ยวเมื่อได้รับเกินความต้องการ 4-10 เท่า จะทำให้โครงกระดูกผิดปกติ

  • ในสัตว์เคี้ยวเอื้องเมื่อได้รับเกิน 30 เท่า จะเกิดอาการผิดปกติ


ประโยชน์ของวิตามินเอ 

  • ช่วยสร้างภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อในทางเดินหายใจ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น 

  • ช่วยรักษาโรคตาได้หลายโรค โดยช่วยสร้างเม็ดสีที่มีคุณสมบัติไวต่อแสง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

  • ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยจากโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี 

  • ช่วยลดจุดด่างดำ รอยแผลเป็น รอยแผลสิวที่ผิวหนังได้ดี 

  • ช่วยสร้างเนื้อเยื่อชั้นนอกของอวัยวะต่าง ๆ ให้มีสุขภาพดีขึ้น ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย ผิวพรรณ ผม ฟัน เหงือก และเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก 

  • ช่วยรักษาสิว ใช้ทาบริเวณผิวหนังจะช่วยรักษาสิวได้ ลดริ้วรอยตื้น ๆ 

  • ช่วยรักษาโรคผิวหนังชนิดเป็นตุ่มพุพองที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ฝี ชันนะตุ และแผลเปิดต่าง ๆ 

  • ผลจากการขาดวิตามินเอ จะทำให้นัยน์ตาแห้ง มีอาการตาบอดตอนกลางคืน การขาดวิตามิน สาเหตุอาจมาจากการดูดซึมไขมันบกพร่องเรื้อรัง พบมากในวัยเด็กอายุไม่เกิน 5 ขวบ เนื่องจากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ 


คำแนะนำในการรับประทานวิตามินเอ 

  • การรับประทานวิตามิน A ปริมาณ 5,000 IU เป็นขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่เพศชาย และ 4,000 IU สำหรับเพศหญิง แต่ในระหว่างตั้งครรภ์ไม่ควรหารับประทานเพิ่มอีกเด็ดขาด แต่สำหรับหญิงผู้ให้นมบุตรแล้ว อาจหาอาหารเสริมรับประทานเพิ่มได้ประมาณ 100 IU ในช่วงหกเดือนแรก และเพิ่มอีก 80 IU ในช่วงหกเดือนหลัง 

  • เบต้าแคโรทีน ยังไม่มีขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน เพราะยังไม่ได้รับการจัดให้เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างเป็นทางการ แต่โดยทั่วไปแล้วเบต้าแคโรทีน 10,000-15,000 IU ถือเป็นขนาดที่เพียงพอและเทียบเท่ากับขนาดที่แนะนำในวิตามินเอ 

  • วิตามินเอในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่วางขายส่วนมากจะมี 2 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบแรกคือแบบที่สกัดจากน้ำมันตับปลาตามธรรมชาติและแบบที่กระจายตัวในน้ำ ซึ่งแบบนี้จะเป็นในรูปของแอซิเทตหรือปาล์มมิเทต เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ควรรับประทานน้ำมัน เช่น ผู้ที่เป็นสิวหรือหน้ามันมาก ๆ ซึ่งขนาดที่แนะนำคือ 5,000-10,000 IU รูปแบบที่สอง กรดวิตามินเอแบบทา (Retin-A) ซึ่งใช้ในการรักษาสิวและการรักษาริ้วรอยเป็นหลัก โดยรูปแบบนี้ต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น 

  • รูปแบบของวิตามินเอที่จะแนะนำให้รับประทานคือ วิตามินในรูปแบบของเบต้าแคโรทีน เพราะไม่มีความเสี่ยงจากการรับประทานสะสมเหมือนวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีนสามารถป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาว และยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย 

  • การรับประทานวิตามินอี 400 IU จะต้องใช้วิตามินเออย่างน้อย 10,000 IU ควบคู่กัน 

  • การรับประทานยาคุมกำเนิดจะทำให้ร่างกายมีความต้องการวิตามินเอน้อยลง 

  • หากรับประทานแคร์รอต ตับ ผักขม มันเทศ แคนตาลูป ในปริมาณมากเป็นประจำอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องรับประทานวิตามินเอจากอาหารเสริมอีก 

  • ไม่ควรรับประทานวิตามินเอร่วมกับน้ำมันสกัดจากธรรมชาติ วิตามินเอจะทำงานร่วมกับ วิตามินบีรวม วิตามินดี วิตามินอี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุสังกะสีได้ดีที่สุด 

  • วิตามินเอช่วยป้องกันไม่ให้วิตามินซีถูกออกซิไดซ์ 

  • หากรับประทานยาลดระดับคอเลสเตอรอล ร่างกายจะดูดซึมวิตามินได้น้อยลง และอาจจะหามาต้องรับประทานเสริม 

  • หญิงมีครรภ์ไม่ควรใช้วิตามินเอในทุก ๆ กรณี เพราะเป็นยาที่ออกฤทธิ์แรง ซึ่งเด็กทารกในครรภ์อาจพิการได้ 


อ้างอิง:  เว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย



ข้อมูลในระบบนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ ประกอบการเรียนการสอน | copyright © thai-herbs.thdata.co

สร้างบทความของคุณ โดยวิธีการง่ายๆ



แชร์ข้อมูล




ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง