Select your language TH EN

อื่นๆ ความรู้ทั่วไป thai-herbs.thdata.co thdata.co

อ่านบทความอัตโนมัติ

สมุนไพรกับโรคเบาหวาน-ต่อ

มะระขี้นก

มะระขี้นก มีสาร p-Insulin, Charantin และ Visine ที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ยังยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับอ่อน

วิธีการใช้:

-แคปซูลมะระขี้นก สามารถรับประทานมะระขี้นกบดผง ขนาด 500-1,000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง

-ชาชงมะระขี้นก นำผลมะระขี้นกมาหั่น ตากแดดให้แห้ง ใช้เนื้อมะระขี้นกแห้ง หรือบดเป็นผง 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วย ดื่มครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือจะชงจำนวนมากพอแล้วใส่ในกระติกน้ำร้อน แบ่งรับประทานได้ตลอดวันก็ได้

-น้ำมะระขี้นก นำผลมะระขี้นก 8-10 ผล ผ่าเอาเม็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นกับน้ำประมาณ 100 มล. ดื่มวันละ 3 เวลา

การศึกษาวิจัย:

*การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับห้องทดลอง พบว่าสาร Charantin ในมะระขี้นกมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และพบสารคล้ายอินซูลิน ซึ่งเป็นโพลีเปปไทด์ที่มีน้ำหนักโมเลกุล 11,000 ดาลตัน และมีกรดอะมิโน 166 residues เรียกสารนี้ว่า โพลีเปปไทด์ พี สารขมกลุ่ม Cucurbitacin ซึ่งเป็น chemotaxonomic character ของพืชวงศ์ Cucurbitaceae และสารดังกล่าวมีฤทธิ์ลดน้ำตาล

*การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับห้องทดลอง พบว่าสาร charantin , monocharin , monordicin จัดเป็นสารสำคัญ active complound ของมะระขี้นกในการลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง charantin มีฤทธิ์ระดับน้ำตาลในเลือดที่แรงกว่ายา tolbutamide

รางจืด

วิธีการใช้:

-แคปซูลรางจืดสามารถรับประทานรางจืดบดผง ขนาด 500-1,000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง

-ชาชงรางจืด นำทั้งต้น (ราก,ลำต้น,ใบ) มาหั่น ตากแดดให้แห้ง ใช้รางจืดแห้ง หรือบดเป็นผง 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วย ดื่มครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือจะชงจำนวนมากพอแล้วใส่ในกระติกน้ำร้อน แบ่งรับประทานได้ตลอดวันก็ได้

การศึกษาวิจัย:

*การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในสัตว์ทดลอง พบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดแห้งมีผลทำให้ความดันโลหิตของหนูแรตลดลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนหนึ่งอาจผ่าน Cholinergic receptor และทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ มีสาร Polysaccharides ชนิดที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน จะช่วยให้น้ำตาลในเลือดถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับร่างกาย จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

วิธีการใช้:

-น้ำปั่นว่านหางจระเข้ ให้ตัดกาบใบว่านหางจระเข้ ที่ปลูกมาอย่างน้อย 1 ปี นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกออก จะได้เนื้อวุ้นใสๆ ให้รับประทานวันละ 15 กรัม ทุกวันติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์

การศึกษาวิจัย:

*การศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานระยะเริ่มต้น พบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ยังไม่ได้กินยาแก้เบาหวาน และกลุ่มผู้ป่วยที่กินยารักษาเบาหวาน gilbenciamide ขนาด 5 ม.ก. จำนวน 2 เม็ด เมื่อได้กินน้ำว่านหางจระเข้ ความเข้มข้น 80% ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง ช่วงเช้า และก่อนนอน กินนาน 42 วัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

หม่อน

ใบหม่อน มีสารสารแอลคาลอยด์ที่มีโครงสร้างคล้ายน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharides) หรือที่เรียกว่า “Azasugars” อยู่หลายชนิด ซึ่งสาร DNJ จะพบมากที่สุด คิดเป็น 50% ของ Azasugars ที่พบในใบหม่อน สาร DNJ เป็นสาระสำคัญในการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของใบหม่อน โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ α-glucosidase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว จึงทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงได้

วิธีการใช้:

-แคปซูลใบหม่อน สามารถรับประทานใบหม่อนบดผง ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 1 - 2 ครั้ง ควรทานเป็นประจำติดต่อกัน 30 วัน

-น้ำต้มใบหม่อน ใช้ใบหม่อนที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป 30 กรัม ต้มกับน้ำ 100 มิลลิตร ดื่มครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา

-ชาชงใบหม่อน นำใบหม่อนมาหั่น ตากแดดให้แห้ง ใช้ใบหม่อนแห้ง หรือบดเป็นผง 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วย ดื่มครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือจะชงจำนวนมากพอแล้วใส่ในกระติกน้ำร้อน แบ่งรับประทานได้ตลอดวันก็ได้

การศึกษาวิจัย:

*การศึกษาในผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 จำนวน 82 คน อายุระหว่าง 41 – 74 ปี ที่รับประทานชาชงซึ่งมีส่วนผสมของใบหม่อน ฝักถั่ว และใบบิลเบอร์รี่ ในขนาด 150 มล. วันละ 3 ครั้ง นาน 2 เดือน พบว่าผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 74 ราย

*การศึกษาในผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 จำนวน 24 คน อายุ 40 – 60 ปี โดยให้รับประทานแคปซูลผงใบหม่อน 500 มก. เท่ากับ 3 ก./วัน) เป็นเวลา 30 วันเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยา glibenclamide ขนาด 5 มก./วัน พบว่ากลุ่มที่ได้รับผลใบหม่อนมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้นแต่ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม นอกจากนี้ยังมีผลลดคอเลสเตอรอลรวมไตรกลีเซอไรด์ กรดไขมันอิสระ LDL และ VLDL และเพิ่มระดับของ HDL ด้วยขณะที่กลุ่มที่ได้รับยา glibenclamide ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แต่ไม่มีผลต่อระดับไขมันในร่างกาย ยกเว้นระดับไตรกลีเซอไรด์ที่มีค่าลดลง

*การศึกษาในอาสาสมัครที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน (ระดับน้ำตาลในเลือด 100 – 140 มก./ดล.) จำนวน 12 คน อายุเฉลี่ย 49.7±10.3 ปี โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับแคปซูลสารสกัดจากใบหม่อน ขนาด 1,2 และ 3 แคปซูล (ซึ่งมี DNJ เท่ากับ 3,6 และ 9 มก./แคปซูล) ก่อนรับประทานอาหาร (ข้าวต้ม 200 ก.) เป็นเวลา 15 นาทีและกลุ่มที่ได้รับยาหลอก พบว่าสารสกัดที่มี DNJ ขนาด 6 และ 9 มก. สามารถลดน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารและลดการหลั่งอินซูสินได้

อบเชย

อบเชย มีสารสำคัญที่จะทำหน้าที่คล้ายกับฮอร์โมนอินซูลินได้แก่ Methylhydroxy และ Chalcone Polymer ซึ่งสารเหล่านี้จะทำให้อินซูลินสามารถเกาะจับกลูโคสได้ดีขึ้น ทั้งยังกระตุ้นให้เซลล์ต่างๆ มีการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมอีกด้วย เพียงแค่ทานอบเชยอย่างน้อย 1 กรัมเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

วิธีการใช้:

-แคปซูล สามารถรับประทานอบเชยจีนบดผง ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 1- 2 ครั้ง ควรทานเป็นประจำติดต่อกัน 20 วัน

-รับประทานพร้อมมื้ออาหารโดยใช้ผงอบเชยโรยในอาหารและเครื่องดื่มที่รับประทาน ปริมาณวันละ 1 ช้อนชา ควรทานเป็นประจำติดต่อกัน 20 วัน

การศึกษาวิจัย: -

*ต้นอบเชยมีหลายชนิด แต่ที่คนไทยรู้จักกันดีและนำมาใช้ปรุงยาหรือใช้ปรุงอาหารมักจะเป็น อบเชยจีน เพราะมีกลิ่นหอม เปลือกมีความบาง แต่ถ้าหาอบเชยจีนไม่ได้ จะใช้อบเชยไทย อบเชยญวน และอบเชยอื่นๆ แทนก็ได้