Select your language TH EN
อื่นๆ ความรู้ทั่วไป  thai-herbs.thdata.co thdata.co

อ่านบทความอัตโนมัติ



โรคตับ (Liver disease)


โรคตับ (Liver disease) คือ โรคที่เกิดจากตับทำงานผิดปกติ ด้อยประสิทธิภาพลง ทั้งนี้ตับเป็นอวัยวะสำคัญอวัยวะหนึ่งต่อการดำรงชีวิต มีหน้าที่หลายประการ

ทั้งในการสะสมน้ำตาล

  • สร้างน้ำย่อยอาหาร

  • สร้างฮอร์โมนช่วยสร้างเกล็ดเลือดของไขกระดูก

  • สร้างสารช่วยการแข็งตัวของเลือด

  • สันดาป/สังเคราะห์โปรตีน และไขมัน

  • และที่สำคัญ คือ ทำลายและกำจัดของเสียต่างๆออกจากร่างกายผ่านทางน้ำดี

ดังนั้นถ้าตับทำงานได้น้อยลง หรือเกิดโรคของตับ จะส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติได้หลายอย่าง เช่น เลือดออกง่าย และมีของเสียต่างๆสะสมในร่างกาย จนนำไปสู่การเสียชีวิตได้เมื่อตับเสียการทำงานจนถึงขั้นเข้าสู่ภาวะตับวาย

โรคตับเป็นโรคพบได้บ่อยโรคหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกาพบโรคตับ อยู่ในลำดับที่ 10 ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรสหรัฐอเมริกา

โรคตับพบเกิดได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ เช่น ภาวะตัวเหลืองที่พบได้ตั้งแต่แรกเกิด (ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก) หรือโรคไวรัสตับอักเสบที่พบได้ในทุกอายุ ทั้งนี้พบโรคตับเกิดในเพศชายมากกว่าในเพศหญิง ซึ่งอาจเพราะเพศชายดื่มสุรามากกว่าเพศหญิง (สุราเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ และโรคตับแข็ง)

โรคตับที่พบได้บ่อย คือ โรคตับอักเสบ และโรคตับแข็งที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รองลงไปคือ โรคไวรัสตับอักเสบ โรคไขมันพอกตับ โรคตับอักเสบจากสาเหตุอื่นๆนอกเหนือจากติดเชื้อไวรัสและดื่มแอลกอฮอล์ (เช่น จากผลข้างเคียงจากยา และโรคมะเร็งตับ


โรคตับมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?

สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคตับ ที่สำคัญที่สุด คือ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รองลงไปคือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้หลายชนิด ที่พบบ่อย คือ ไวรัสตับอักเสบ เอ ไวรัสตับอักเสบ บี และไวรัสตับอักเสบ ซี


นอกจากนั้น คือสาเหตุอื่น เช่น

  • โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง และโรคเบาหวาน ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคไขมันพอกตับ

  • การติดเชื้ออื่นๆนอกเหนือจากเชื้อไวรัส เช่น

    • ติดเชื้อแบททีเรีย (เช่น ฝีตับ/Liver abscess )

    • ติดเชื้อรา

    • ติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียว เช่น ฝีตับมีตัว (Amoebic liver abscess)

    • และโรคพยาธิใบไม้ตับ (Liver fluke) ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับชนิดเกิดจากท่อน้ำดีในตับ

  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด (เช่น ยาบางชนิดที่ใช้รักษาวัณโรค หรือจากยาพาราเซตามอล/Paracetamol) หรือสารพิษบางชนิด (เช่น เห็ดพิษ หรือสมุนไพรบางชนิด)

  • โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง

  • โรคมะเร็ง ทั้งชนิดที่เกิดจากเซลล์ตับเอง (โรคมะเร็งตับ) และจากโรคมะเร็งของอวัยวะอื่นๆที่แพร่กระจายมาตับ เช่น โรคมะเร็งเต้านม แล้วแพร่กระจายตามกระแสโลหิตมาสู่ตับ

  • พันธุกรรม เป็นโรคที่พบได้น้อยมาก และมักพบเกิดตั้งแต่เป็นเด็ก เช่น โรค Hemochromatosis คือ โรคที่มีธาตุเหล็กไปจับในตับมากเกินปกติจนเป็นสาเหตุให้ตับสูญเสียการทำงาน เป็นต้น


อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ?

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับ ได้แก่

  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  • เป็นโรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

  • ทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารพิษ และสารเคมีต่างๆโดยไม่รู้จักการป้องกัน

  • ทำงานที่ต้องสัมผัสกับ เลือด สารคัดหลั่ง หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น (เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี)

  • การกินอาหารที่ขาดสุขอนามัย (เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ เอ)

  • กินยาพร่ำเพื่อ เสี่ยงต่อผลข้างเคียงของยา

  • ชอบกินสมุนไพร หรือเห็ดแปลกๆ

  • การส่ำส่อนทางเพศ (เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ บี)

  • การสักตามร่างกาย หรือ เจาะร่างกายจากแหล่งบริการที่ไม่สะอาดพอ เพราะอาจเป็นสาเหตุการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี

  • ได้รับเลือดจากผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบ บี หรือ ไวรัสตับอักเสบ ซี


โรคตับ-Liver-disease thai-herbs.thdata.co | โรคตับ-Liver-disease สรรพคุณ สมุนไพร ไทย


โรคตับมีอาการอย่างไร?

อาการจากโรคตับ มีได้หลากหลายอาการ ขึ้นกับสาเหตุ แต่อาการโดยรวมที่มักคล้ายคลึงกันในทุกสาเหตุและทำให้แพทย์คิดถึงโรคของตับ ได้แก่

  • เจ็บใต้ชายโครงขวา หรือเจ็บ/ปวดท้องด้านขวาตอนบน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ของตับ

  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมกับ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร

  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย

  • ตัว ตาเหลือง (โรคดีซ่าน)

  • ปัสสาวะสีเหลืองเข็ม ร่วมกับอุจจาระสีซีด

  • มีน้ำในท้อง หรือท้องมาน มักร่วมกับอาการบวมเท้า

  • เมื่อเป็นมาก ลมหายใจอาจมีกลิ่นออกหวาน (กลิ่นของสารตกค้างในร่างกาย เช่น สารที่เรียกว่า Ketone) สับสน อารมณ์แปรปรวน มือ เท้า กระตุก และมือสั่น


แพทย์วินิจฉัยโรคตับได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคของตับได้จาก

  • การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น อาการ ประวัติการเจ็บป่วยต่างๆทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการใช้ยาต่างๆ

  • การตรวจร่างกาย

  • การตรวจเลือดดูค่าการทำงานหรือค่าเอนไซม์ของตับ (เช่น Alkaline phosphatase ย่อว่า AP หรือ ALP, Alanine transaminase ย่อว่า ALT, และ Aspartate aminotransferase ย่อว่า AST)

  • นอกจากนี้ อาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการของผู้ป่วย สิ่งผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ เช่น

    • การตรวจภาพตับด้วย อัลตราซาวด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอมอาร์ไอ

    • การส่องกล้องตรวจทางเดินน้ำดีในตับ

    • การฉีดสีตรวจทางเดินน้ำดีในตับ (Cholangiography)

    • และ/หรือการตัดชิ้นเนื้อจากตับเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา


รักษาโรคตับอย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคตับ คือ การรักษาสาเหตุ ร่วมกับการรักษาประคับประคองตามอาการ

ก. การรักษาสาเหตุ: เช่น

  • การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อโรคตับเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรีย

  • การผ่าตัดเมื่อมีเนื้องอกในตับ

  • การเลิกสุรา หรือการหยุดยา เมื่อโรคตับเกิดจากสุรา หรือ จากยา เป็นต้น

  • นอกจากนั้นเมื่อตับสูญเสียการทำงานจนเกิด ภาวะตับวายเรื้อรัง การรักษาคือ การผ่าตัดเปลี่ยนตับ (Liver transplantation)

ข. การักษาประคับประคองตามอาการ: เช่น

  • การให้ยาแก้ปวด หรือ ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตามอาการ

  • การทำผ่าตัดใส่ท่อระบายน้ำดีเมื่อมีตัวตาเหลืองมากจากมีการอุดตันของทางเดินน้ำดีในตับ

  • และการให้สารน้ำและอาหารทางหลอดเลือดดำเมื่อกิน ดื่ม ได้น้อย เป็นต้น


โรคตับรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?

ความรุนแรงและผลข้างเคียงของโรคตับ ได้แก่

ก. ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของโรคตับขึ้นกับ สาเหตุ เช่น

  • เมื่อสาเหตุเกิดจากผลข้างเคียงของยา เมื่อหยุดยา เซลล์ตับมักกลับเป็นปกติ

  • แต่ความรุนแรงโรคฯจะสูงขึ้น เมื่อเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ ไวรัสตับอักเสบ ซี

  • หรือความรุนแรงโรคฯจะสูงสุด เมื่อสาเหตุเกิดจากโรคมะเร็งตับ หรือมีโรคมะเร็งของอวัยวะอื่นๆแพร่กระจายมาสู่ตับ

ข. ในส่วนผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนจากการมีโรคตับ คือ

  • ภาวะตัวตาเหลือง (โรคดีซ่าน)

  • การมีน้ำในช่องท้อง

  • และภาวะตับวาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการ เสียชีวิตได้


ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร?

เมื่อมีอาการต่างๆดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ เพื่อแพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุ เพื่อการรักษาที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆ


แต่เมื่อเป็นโรคตับแล้ว การดูแลตนเอง คือ

  • ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ

  • กินยาต่างๆที่แพทย์แนะนำให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ขาดยา

  • เลิกดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  • กินยาเฉพาะที่แพทย์สั่ง ไม่ซื้อยากินเอง

  • พักผ่อนให้เพียงพอ

  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำจากการอาเจียน

  • กิน อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ควรปรึกษาแพทย์ พยาบาลในเรื่องอาหาร เพื่อการบริโภคได้อย่างเหมาะสม เพราะจะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นกับประสิทธิภาพการทำงานของตับของผู้ป่วยแต่ละคน (อาหารในผู้ป่วยโรคตับ)

  • เคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพ

  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ

  • รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ

    • อาการต่างๆเลวลง เช่น ตัวเหลืองตาเหลืองเพิ่มขึ้น

    • หรือมีอาการผิดไปจากเดิม เช่น บวมเนื้อตัว เท้า ท้อง

    • หรือมีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ขึ้นผื่น ท้องผูก/ท้องเสียเรื้อรัง

    • หรือเมื่อกังวลในอาการ


มีการตรวจคัดกรองโรคตับไหม?

การตรวจคัดกรองโรคตับไม่มีการแนะนำเป็นกรณีเฉพาะ แต่จะเป็นการตรวจประจำอยู่ในการตรวจสุขภาพประจำปีโดยแพทย์ ซึ่งเป็นการสอบถาม/ซักถามประวัติอาการทางการแพทย์ทั่วๆไป การตรวจร่างกาย การตรวจคลำตับ และการตรวจเลือดดูการทำงานของตับ

ซึ่งหากแพทย์พบว่า ผิดปกติ จึงจะมีการสอบถามประวัติทางการแพทย์ ร่วมกับการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจอัลตราซาวด์ภาพตับ เป็นต้น


ป้องกันโรคตับได้อย่างไร?

การป้องกันโรคตับสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะดังกล่าวแล้วใน หัวข้อสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ ว่า สาเหตุสำคัญของโรคตับ คือ จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ดังนั้นการป้องกันที่ประสิทธิภาพที่สุด คือ

  • การไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือถ้าดื่มก็ต้องจำกัด เป็นครั้งคราวในปริมาณไม่มาก สมาคมโรงมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (ACS, American Cancer Society) แนะนำ จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมทั้งสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (AHA, American Heart Association) ก็แนะนำการจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เช่นกัน โดยในแต่ละวัน ACS แนะนำดังนี้

    • ผู้ชายไม่ควรดื่มเบียร์เกิน 350 มิลลิลิตร (มล.), ไวน์ไม่เกิน 150 มล., และสุรา ไม่เกิน 50 มล.

    • ในผู้หญิงลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ชาย เพราะมีรูปร่างและน้ำหนักตัวน้อยกว่าผู้ชาย

  • การรักษา สุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิดด้วย

  • นอกจากนั้น ยังอาจป้องกันโรคตับได้จาก

    • การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี

    • การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงฯต่างๆ เช่น

      • การไม่ใช้ยาพร่ำเพื่อ

      • การไม่กินเห็ดหรือสมุนไพรต่างๆที่ไม่รู้จัก

      • การไม่ใช้สารเสพติด

      • การป้องกัน ควบคุมและรักษาโรคต่างๆที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคไขมันในเลือดสูง


อ้างอิง: หาหมอ





ข้อมูลในระบบนี้ จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ ประกอบการเรียนการสอน | copyright © thai-herbs.thdata.co

สร้างบทความของคุณ โดยวิธีการง่ายๆ



แชร์ข้อมูล




ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง